พาราสาวะถี
ผ่านการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 วันแรกไป ท่วงทำนองของฝ่ายค้านก้าวไกลไม่ว่าใครก็ตามที่โหมโรง ให้สัมภาษณ์ในทำนองมีวาทกรรมเร้าความน่าสนใจ
ผ่านการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 วันแรกไป ท่วงทำนองของฝ่ายค้านก้าวไกลไม่ว่าใครก็ตามที่โหมโรง ให้สัมภาษณ์ในทำนองมีวาทกรรมเร้าความน่าสนใจ แต่เมื่อเข้าสู่บริบทของการทำหน้าที่ในสภาฯ ยังคงเต็มไปด้วยข้อมูล ข้อเสนอในเชิงวิชาการที่ถือว่า บางมุมเป็นประโยชน์ซึ่งฝ่ายกุมอำนาจสามารถนำไปปรับใช้ได้ หากจะพูดให้สวยหรูก็คือ เป็นฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ ผิดกับพรรคประชาธิปัตย์ที่การอภิปรายของ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ แสดงให้เห็นถึงความเป็นฝ่ายแค้นได้อย่างเด่นชัด
เป็นท่วงทำนองที่สะท้อนไปยังความพ่ายแพ้ชนิดหมดรูปของพรรคเก่าแก่ภายใต้การนำของจุรินทร์ได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะว่าไปในส่วนของพรรคเพื่อไทย หรือแม้แต่ก้าวไกลก็ไม่ได้มองว่าประชาธิปัตย์เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอีกต่อไป การไม่ยอมก้าวพ้น ทักษิณ ชินวัตร การยังคงความเกลียดชังที่มีต่อพรรคเพื่อไทย คือภาพหลอนที่ทำให้คนรุ่นเก่าของพรรคนี้ไม่สามารถที่จะเดินไปบนถนนสายการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากแล้ว
การแสดงบทบาทเช่นนี้ เปรียบเสมือนตัวแทนของพวกคนหัวเก่าหรือผู้ที่คิดว่ายังมากด้วยบารมีในพรรค ต่อการไม่เอาระบอบอุปโลกน์อย่างระบอบทักษิณ และไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ความจริงประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ เฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นกลุ่มการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะก้าวข้ามความขัดแย้งที่มีมาในอดีต อาจดูเป็นความกระสันอยากที่จะร่วมรัฐบาล แต่อีกด้านคือ การไม่ลงรอยของสองพรรคที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดจากแนวคิด อุดมการณ์ทางการเมือง แต่เป็นเรื่องอคติส่วนตัวของผู้อาวุโสภายในพรรคล้วน ๆ
เมื่อพวกที่ขึ้นเป็นใหญ่ยังคงเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้อาณัติของคนเหล่านั้น จึงต้องแสดงออกทางการเมืองกันในแบบที่คนรุ่นใหม่ หรือคนทั่วไปที่มองการเมืองเป็นมองข้ามไปแล้ว ไม่ต่างจากคนรุ่นใหม่ภายในพรรคเก่าแก่ที่ต่างก็เห็นว่าข้อกล่าวหาเรื่องทุนนิยมสามานย์ เผด็จการรัฐสภา ใช้เงินซื้อเสียง เหล่านั้นกลายเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ ตกยุคไปแล้ว การเมืองยุคใหม่ต้องแข่งขันกันด้วยนโยบาย และการลงมือทำเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น
ไม่เพียงแต่การอภิปรายของจุรินทร์ที่พยายามจะพูดถึงทักษิณ การกระแนะกระแหนว่าด้วยสีถุงเท้าของ เศรษฐา ทวีสิน ก็เป็นแค่มุกตลกของอดีตนักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองนามอู๊ดด้าเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริง ต้องถามย้อนกลับว่า ในฐานะรองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ยุครัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจมีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่ประชาชนสัมผัสจับต้องได้บ้าง จึงไม่แปลกที่จะได้ยินเศรษฐาตอกกลับนิ่ม ๆ จุรินทร์นั่งกระทรวงพาณิชย์มา 4 ปีผลงานยังไม่เท่ากับที่ ภูมิธรรม เวชยชัย ทำงานมาแค่ 3 เดือน
ไม่เพียงเท่านั้น เสี่ยนิดยังบอกด้วยว่า “จะใส่ถุงเท้าสีอะไรก็ทำงานได้” บอกแล้วไงว่ามิติทางการเมืองหากจะต้องตอบโต้เศรษฐาก็ไม่เป็นสองรองใคร เพราะกุนซือด้านการเมืองที่ไม่แสดงตัวตนนั้นไม่ธรรมดา สามารถเขียนสคริปต์ให้พูดแบบธรรมชาติเลยก็ว่าได้ นี่คือการเตรียมพร้อมก่อนจะกระโจนเข้าสู่สนามการเมืองแบบเต็มตัวของนายกฯ คนนี้ และนั่นก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ว่าเพื่อไทยทำไมถึงไว้ใจได้ในงานฝ่ายบริหารภายใต้การนำของเศรษฐา
เช่นเดียวกับการจัดวางจังหวะก้าวทางการเมืองของ แพทองธาร ชินวัตร เก้าอี้รัฐมนตรีหรือนายกฯ เป็นเรื่องที่ยังต้องใช้เวลา ไม่ใช่เพราะความสามารถยังไม่ถึง เพียงแค่ต้องสะสมชั่วโมงบิน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ แสดงความสามารถในความเป็นนักคิด นักบริหาร ผ่านหัวโขนที่ได้รับไม่ว่าจะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ หรือรองประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ นี่คือเวทีโชว์ฝีมือ แสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำคนรุ่นใหม่ของเพื่อไทย
เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนต่อรูปแบบการบริหารงานของพรรคก้าวไกล เพื่อไทย กับประชาธิปัตย์ ที่ขณะนี้ภาพปริแยกขัดแย้งภายในเริ่มฉายให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ล่าสุด เทพไท เสนพงศ์ ได้มีการโพสต์เฟซบุ๊กโต้ ราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค หลังจากถูกกล่าวหาชอบพูดจาทับถมพรรค ด้วยการเรียกร้องให้ผู้บริหารพรรคปัจจุบันประกาศจุดยืนว่าไม่เป็นพรรคอะไหล่ และจะไม่เข้าร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย ภาพเช่นนี้เป็นการชี้ให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันภายในพรรคเก่าแก่ระหว่างผู้มีบารมีกับผู้บริหารพรรค
ทั้งที่ในความเป็นจริง ประเด็นที่เทพไทยกมาตอบโต้โฆษกพรรคนั้น ไม่ว่าจะเป็นอย่าเล่นบทเป็นอีแอบ ทำตัวผลุบ ๆ โผล่ ๆ ให้เป็นที่น่าสงสัย เพราะกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา ควรจะนำไปตั้งคำถามกับอดีตผู้นำพรรคตั้งแต่ก่อนรัฐประหารกันยายน 2549 และพฤษภาคม 2557 มากกว่า ใครกันที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น จนนำพาพรรคไปสู่ยุคตกต่ำ ไม่ใช่เพราะอคติส่วนตัว ความอยากได้ในอำนาจ และชนะคะคานพรรคคู่แข่ง โดยไม่สนใจว่าจะต้องใช้วิธีการแบบใด แม้กระทั่งใช้ปลายกระบอกปืนล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง จากที่หวังอานิสงส์ของการเป็นอีแอบ ลูกไล่เผด็จการ กลายเป็นหอกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงพรรคให้เสียหายไปเสียฉิบ
มีเรื่องแต่งตั้งโยกย้ายที่ต้องจับตาอีกแล้ว กับข่าวที่การโยก พลตำรวจเอก รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ข้ามห้วยมานั่งเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเศรษฐายืนยันแล้วว่าจริง เพียงแต่ต้องรอกระบวนการเพราะต้องมีการขอไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นไปตามขั้นตอน โดยที่ทางฝั่งของ สมช.ไม่มีเสียงคัดค้าน คุยกันรู้เรื่องแล้ว ความจริงยุคเผด็จการ คสช.และเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ถูกข้ามหัวย้ายข้ามห้วยกันเป็นว่าเล่นอยู่แล้ว
ยิ่งมีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากเลขาฯ สมช.ด้วยแล้ว จึงไม่น่าจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหา เพราะเป็นความชอบธรรมสามารถย้ายข้าราชการเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการทำงานได้ การใช้บทเรียนของการเป็นรัฐบาลที่ถูกล้ม และกลไกของรัฐบาลสืบทอดอำนาจที่เคยทำมา ทำให้เห็นว่าการแต่งตั้งโยกย้ายในยุคเศรษฐา โดยเฉพาะกับแวดวงคนมีสีไม่มีปัญหาเหมือนในอดีต มากไปกว่านั้นยังดูลื่นไหลเป็นไปด้วยดีเสียด้วยซ้ำ