SCC ชะลอแผนดัน SCGC เข้าตลาด ตั้งเป้าปี 67 รายได้โต 20% ลุย COD โรงงานเวียดนามไตรมาส 1/67
SCC ตั้งเป้ารายได้จากการขายรวมปี 67 จะเติบโตราว 20% หลังโรงงานโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์จะเริ่มเดินเครื่อง COD ไตรมาส 1/67 ส่วนแผนการนำ SCGC ขณะนี้ต้องชะลอไปก่อน เนื่องจากมองว่าเวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จากการขายรวมปี 67 จะเติบโตราว 20% จากปีก่อนทำได้ 499,646 ล้านบาท เนื่องจากโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long son Petrochemicals) ประเทศเวียดนาม จะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในไตรมาส 1/67 จากปัจจุบันอยู่ระหว่างเดินเครื่องจักรและทดสอบประสิทธิภาพการเดินโรงงานทั้งระบบไปแล้ว 95% ซึ่งโครงการดังกล่าวมีคำสั่งซื้อเข้ามาเรียบร้อยแล้ว โดยส่วนใหญ่จะรองรับในประเทศเวียดนาม
ธุรกิจเคมิคอลส์ (SCGC) คาดการณ์ว่าปรับตัวดีขึ้นได้ในครึ่งปีหลังนี้ตามความต้องการสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นและอุปทานที่ลดลง โดยธุรกิจเร่งพัฒนาพลาสติกรักษ์โลก รวมทั้งสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High-Value Added Products & Service : HVA) ให้มีสัดส่วนสูงขึ้น นอกจากนี้ยังเร่งขยายเข้าสู่ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยความร่วมมือกับ Denka ในการผลิตและจำหน่ายอะเซทิลีนแบล็ก (Acetylene Black) ส่วนประกอบสำคัญสำหรับนำไฟฟ้าในการผลิตขั้วแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบชาร์จไฟได้สำหรับยานไฟฟ้า ซึ่งมีปริมาณความต้องการสูง
ส่วนความคืบหน้าการนำ SCGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ มองว่าภายใน 2 ปีนี้ ยังไม่ใช่จังหวะที่ดี จึงชะลอแผนดังกล่าวออกไปก่อน แต่ระหว่างนี้จะทรานฟอร์มธุรกิจ ไปสู่เอสซีจีซี กรีนพอลิเมอร์ให้มากขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมการเข้าตลาดฯ ในอนาคต
ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน คาดเติบโตราว 10-15% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และการเร่งผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพร้อมเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและอำนวยความสะดวกในการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำ เจนเนเรชันที่ 2 ซึ่งจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรก อีก 5% อีกทั้งจะนำเสนอโซลูชันการออกแบบอาคารที่ช่วยคำนวณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในการก่อสร้าง ด้วยแพลตฟอร์ม KITCARBON
ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง เติบโตต่อเนื่อง เน้นบริหารจัดการต้นทุนด้วยการปรับใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต พร้อมทั้งพัฒนาสมาร์ทโซลูชันตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการประหยัดพลังงาน มีสุขอนามัยที่ดี ห่างไกล PM 2.5 และมีความ ปลอดภัยในการใช้ชีวิต เช่น ‘SCG Active Air Qualty’ นวัตกรรมเดิมอากาศดีให้บ้าน ป้องกันมลพิษ ฝุ่น PM 2.5 เชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส ‘หลังคาเอสซีจี เมทัลรูฟ รุ่น คอมฟอร์ท ลอน Snap Lock’ นวัตกรรมหลังคาช่วยป้องกันเสียงจากภายนอก และกันความร้อนประหยัดการใช้พลังงานภายในบ้าน และ ‘SCG Solar Roof Solutions’ ซึ่งมียอดขายเติบโตโดดเด่น เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน
ทั้งยังมุ่งขยายสมาร์ทโซลูชันสู่ตลาดใหม่ ๆ อาทิ ติดตั้งนวัตกรรมบำบัดอากาศเสียพร้อมประหยัดพลังงาน ‘SCG Air Scrubber’ ให้อาคาร Keppel Bay Tower โครงการอสังหาฯ ระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสิงคโปร์ และเป็นอาคารแห่งแรกในสิงคโปร์ที่ได้รางวัล Green Mark Platinum (Zero Energy) หรือรางวัลอาคารประหยัดพลังงาน ซึ่งนวัตกรรมดังกล่าวช่วยประหยัดพลังงานจากระบบปรับอากาศได้สูงสุด 30%
ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล เร่งขยายความแข็งแกร่งสู่ตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง อย่างภูมิภาค SAMEA (เอเซียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริก1) โดย SCG Internationa ตั้งสำนักงานในกรุงริยาดซาอุดิอาระเบียอย่างเป็นทางการ
พร้อมเป็น International Supply Chain Partner บริหารจัดการตั้งแต่การหาแหล่งผลิตสินค้าจนถึงการสร้างตลาดให้คู่ค้าจากทั่วทุกมุมโลก
ธุรกิจเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ พลังงานสะอาดสะอาดครบวงจร มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้พลังงานสะอาดที่มากขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยปีนี้เตรียมขยายไปยังตลาดอาเซียนทุนเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (SCGP) อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ตามความต้องการใช้ และแผนกระตุ้นท่องเที่ยวและส่งออก ของภาครัฐ โดย SCGP จะมุ่งเน้นการเติบโตผ่าน การขยายกำลังการผลิตและ การทำ M&P ในธุรกิจวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ Bio-Solutions ที่เป็นเมกะเทรนด์และเติบโตสูง
นายธรรมศักดิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 40,000 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจกรีน หรือนวัตกรรมรักษ์โลก พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งมีความต้องการและเติบโตอีกมาก
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนออกหุ้นกู้ใหม่ เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้จำนวน 60,000 ล้านบาท โดยรอบแรกเดือนเม.ย. จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดจำนวน 25,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะ Rollover กว่า 20,000 ล้านบาท และให้บริษัทลูกออกหุ้นกู้อีก 5,000 ล้านบาท รวมถึงอยู่ระหว่างพิจารณาออกหุ้นกู้เพิ่มเติม สำหรับทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนส.ค. จำนวน 10,000 ล้านบาท และปลายปีนี้อีก 15,000 ล้านบาท