โบรกเชียร์ซื้อ GULF เป้า 60 บาท ชี้กำไร Q4 แตะ 4.5 พันล้าน รับโรงไฟฟ้าใหม่หนุน

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ถึงแนวโน้มการเติบโตของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ว่า ทางฝ่ายวิเคราะห์ได้ประเมินกำไรปกติในไตรมาส 4/2566 ไว้ที่ 4.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการ COD โรงไฟฟ้า GPD (IPP) หน่วยที่ 2 กำลังการผลิต 663 เมกะวัตต์ ในไตรมาส 4/2566 และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมมากขึ้น โดยประเมินส่วนแบ่งกำไรปกติที่ 2.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อนหน้า จากการเข้า high season ของ BKR2

ทั้งนี้ ยังรวมถึงผลประกอบการของโรงไฟฟ้า Jackson ที่ดีขึ้นจากราคา LNG ที่ปรับตัวขึ้น และราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงมาราว 330 บาท/MMBTU ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 9% จากช่วงเดียวกันของไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งจะชดเชยประเด็นลบจากผลกระทบจากการปรับค่ำ Ft ลงเต็มไตรมาส มาอยู่ที่ 0.20 บาท/หน่วย รวมทั้งการรับรู้ส่วนแบ่งกำไร GJP ที่ลดลงหลัง dispatch ครบตามสัญญา

โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการณ์กำไรปกติประจำปี 2566-2567 ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นจากการ COD โครงการใหม่ ทั้งนี้ หากกำไรไตรมาส 4/2566 ออกมาใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิเคราะห์ประเมิน จะทำให้กำไรปกติทั้งปี 2566 อยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงประมาณการเดิมของฝ่ายวิเคราะห์ ในขณะที่กำไรปกติปี 2567 ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการณ์กำไรปกติที่ราว 1.9 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการหลักโรงไฟฟ้า GPD (IPP) unit 3-4 กำลังกำรผลิตรวม 1,325 เมกะวัตต์ และโครงกำรหินกอง (IPP) หน่วยที่ 1 กำลังกำรผลิต 770 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทยอย COD ตั้งแต่ไตรมาส 1/2567 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 60.00 บาท อิง SOTP โดยปัจจัยบวก ยังคงเป็นการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดย short-term catalyst คือโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในไทย เฟส 2 ราว 3.7GW ต่อจากโครงการ 5.2GW ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2567 รวมทั้งโครงการใหม่ในเวียดนามหลังประกาศ Master Plan VIII