“ป.ป.ช.”ชี้ 8 เหตุผลก่อนเดินหน้า “ดิจิทัลวอลเล็ต” ย้ำเศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤต
“ป.ป.ช.” เปิด 8 เหตุผลแนะรัฐบาล ก่อนเดินหน้า “ดิจิทัลวอลเล็ต” หวังป้องกันการทุจริต ชี้ “พ.ร.บ.เงินกู้” เสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ ย้ำเศรษฐกิจไทยไม่วิกฤต แนะควรใช้งบประมาณที่มีอยู่เพื่อช่วยเหลือประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (7 ก.พ.67) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงข้อเสนอแนะในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านโครงการ Digital Wallet ตามนโยบายรัฐบาล โดยมีข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลรวม 8 ข้อ เพื่อให้นำไปประกอบการตัดสินใจในการป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตหรือเกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน
อีกทั้ง ได้เตรียมส่งเอกสารข้อเสนอแนะหนา 61 หน้า พร้อมภาคผนวกจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปให้ทุกหน่วยงานตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 1-2 วันนี้ ซึ่งเป็นเพียงข้อทางวิชาการ ส่วนการตัดสินใจที่จะเดินหน้าโครงการต่อไปเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องมีเหตุผลชี้แจงต่อสังคมให้เข้าใจ
“ทั้งนี้ เป็นเพียงข้อเสนอ ไม่มีสภาพบังคับ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละหน่วยงาน ขณะที่ป.ป.ช.คงไม่ไปก้าวล่วง ข้อแนะนำก็คือข้อแนะนำ” นายนิวัติไชย กล่าว โดยข้อเสนอของ ป.ป.ช.มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์ การดำเนินโครงการตามนโยบายรวมทั้งขี้แจงความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมว่าผู้ได้รับประโยชน์จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือเอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย เพราะอาจเข้าข่ายทุจริตเชิงนโยบาย รวมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง อาทิ ผู้มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบาง พร้อมกับต้องมีขั้นตอนและวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อให้กระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
2.การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยและการที่พรรคเพื่อไทยแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเกี่ยวกับโครงการนี้มีความแตกต่างกัน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรตรวจสอบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองปี 60 หรือไม่ มาประกอบการพิจารณาด้วยไม่เช่นนั้นจะเป็นบรรทัดฐานว่าพรรคการเมืองหาเสียงไว้แต่ไม่จำเป็นต้องทำตาม
3.นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านโครงการ Digital Wallet ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็น ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงินการคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ ความโปร่งใส (Transparency), การถ่วงดุล (Checks and Balances), การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง (Fiscal Integrity) และความคล่องตัว (Flexibility) ซึ่งรัฐบาลต้องใช้ความระมัดระวังพิจารณาผลดี-ผลเสียในการกู้เงิน 500,000 ล้านบาท ขณะที่ตัวทวีคูณทางการคลังมีเพียง 0.4 เพราะเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาลและประชาชนในระยะยาว ต้องตั้งงบประมาณชำระหนี้ถึง 4-5 ปี กระทบการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
4.การดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านโครงการ Digital Wallet คณะรัฐมนตรี (ครม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญ ปี 60 (มาตรา 172) พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (มาตรา 53) พ.ร.บ.เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6 พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 ตลอดจนกฎหมาย คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย
5.ครม.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรประเมินความเสี่ยงในการดำเนินโครงการอย่างรอบด้าน โดยกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยงและการป้องกันการทุจริต ตลอดจนมีกระบวนการตรวจสอบทั้งก่อนระหว่าง รวมถึงหลังดำเนินโครงการ ซึ่งอาจพิจารณานำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ (ป.ป.ช.) เรื่อง การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โครงการโปร่งใสตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง
6.ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้กับโครงการนี้ ควรพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนระยะเวลาและงบประมาณที่ต้องใช้พัฒนาระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการดำเนินโครงการที่เป็นการแจกเงินเพียงครั้งเดียวให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน
7.จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้จากการศึกษา และตัวทวีคูณทางการคลัง รวมถึงตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมและประมวลข้อมูลจากงานศึกษาของธนาคารโลกและ IMF มีความเห็นตรงกันว่า ในช่วงเวลาที่ศึกษาเศรษฐกิจไทยยังไม่ถึงขั้นวิกฤต เพียงแค่ชะลอตัว ดังนั้น การกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนควรพิจารณาและให้ความสำคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ อาทิ กระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน, กระตุ้นการใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐ และเพิ่มทักษะแรงงาน เป็นต้น ในกรณีที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายช่วยเหลือประชาชนภายใต้เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่เปราะบางที่สุด ซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน
8.หากรัฐบาลจำเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน ควรช่วยกลุ่มฐานะยากจนที่เปราะบางช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น โดยแจกเงินงบประมาณปกติ ไม่ใช่เงินกู้ตามพ.ร.บ.เงินกู้ และจ่ายเป็นเงินบาทในอัตราที่เหมาะสม เพื่อพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มคนยากจน กระจายจ่ายเงินเป็นงวดๆ หลายงวดผ่านแอปเป๋าตัง เพราะหากใช้งบประมาณปกติจะลดความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ ขัด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และขัดพ.ร.บ.เงินตรา ประการสำคัญไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะในระยะยาว
ขณะที่กรณีดังกล่าวเป็นการทำงานในเชิงรุกของ (ป.ป.ช.) เพื่อป้องกันการทุจริตไม่ใช่การตั้งรับให้เกิดการทุจริตขึ้นมาก่อนจึงเข้าไปตรวจสอบ (ป.ป.ช.) พิจารณาแค่การประกาศที่จะดำเนินโครงการของรัฐบาล เมื่อยังไม่มีการขับเคลื่อนโครงการจึงไม่สามารถตอบได้ว่าจะเกิดการทุจริตหรือไม่ เพราะเรื่องยังไม่เกิดขึ้น ถ้ารัฐบาลจะเดินหน้าต่อไปก็ต้องรับผิดชอบและมีข้อมูลยืนยันชัดเจน ซึ่ง ป.ป.ช.จะมีการติดตามเป็นระยะๆ
“ทั้งนี้ รัฐบาลกับ (ป.ป.ช.) อาจมีมุมมองที่ต่างกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุผล เหมือนการกำหนด TOR จึงต้องรอดูว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร ส่วนข้อเสนอแนะเชิงวิชาการของ (ป.ป.ช.) ก็มีข้อมูลจากหน่วยที่เชื่อถือได้ อีกทั้งประชาชนอาจจะได้หนึ่งหมื่น แต่อาจถูกเก็บค่าภาษีและค่าอื่นๆ เพื่อเอาไปชำระหนี้ ซึ่งอาจมากกว่าหนึ่งหมื่นก็ได้” นายนิวัติไชย กล่าว