BTS จ่อรับหนี้ก้อนแรก 2.3 หมื่นล. ปลายมี.ค. เดินหน้าลุย “บีอาร์ที” 23 คัน เดินรถ ก.ค.นี้
BTS จ่อรับเงินจ่ายหนี้จาก “กทม.” ก้อนแรก 2.3 หมื่นล้านบาท เร็วสุดช่วงปลายมี.ค.นี้ พร้อมเดินหน้าจัดหารถ BRT จำนวน 23 คัน หลังชนะประกวดราคาจ้างเดินรถ คาดเริ่มบริการตามแผน ก.ค.นี้
จากกรณีผลประชุม สภากรุงเทพมหานคร มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการวิสามัญพิจารณา ร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.67 เป็นจำนวนเงินรวม 23,488 ล้านบาท เป็นรายจ่ายพิเศษจากเงินสะสมจ่ายขาดของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเงินดังกล่าว กรุงเทพมหานครจะนำไปใช้ในการจ่ายหนี้รถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว ที่เป็นส่วนของระบบการเดินรถและเครื่องกล หรือ ระบบอาณัติสัญญาณ (E&M) ที่ กรุงเทพมหานครเป็นหนี้บีทีเอส มาก่อน
โดยประเด็นหนี้ของกรุงเทพมหานคร แบ่งเป็นค่าติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณ (E&M) และค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท
ด้าน นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร และผู้อำนวยการใหญ่สายงานธุรกิจ MOVE บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า ประเด็นดังกล่าวถือเป็นข่าวดี ซึ่งบริษัทคาดการณ์ว่าจะได้รับเงินก้อนแรกในช่วงปลายเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายนนี้ ตามที่ได้มีการตกลงกัน
สำหรับตัวเลขผู้โดยสารสายสีเหลืองปัจจุบันอยู่ที่ราว 6 แสนคนต่อวัน ส่วนต่อขยาย 3 ด้านรวมกันเกือบๆ 2 แสนคน และถ้าในช่วงพีกสุดรวมๆ กันแล้วประมาณ 9 แสนกว่าราย โดยการเดินรถก็จะทิ้งระยะห่าง 2 นาที ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
ขณะที่ความคืบหน้าส่วนต่อขยายเข้าเมืองทอง คาดการณ์ว่าจะสามารถเปิดบริการได้ในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งช้ากว่าแผนเดิม เนื่องจากติดปัญหาพื้นที่การก่อสร้างที่จำกัด รวมถึงวิกฤตการจราจร
ส่วนกรณีการชนะประกวดราคาจ้างโครงการพัฒนาระบบการเดินรถด่วนพิเศษ (BRT) ด้วยงบประมาณ 479 ล้านบาท มีสัญญาจ้าง 5 ปี ซึ่งจะเริ่มเปิดใช้ในเดือนกรกฎาคมนี้ ปัจจุบันบริษัทกำลังขอใบเสนอราคาเพื่อจัดหารถโดยสารปรับอากาศขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) จำนวน 23 คัน โดยจะเริ่มเปิดบริการในเดือนกรกฎาคมนี้
ขณะเดียวกันวันนี้ นายดาเนียล รอสส์ ผู้อำนวยการใหญ่สายการลงทุน และหัวหน้าฝ่ายพัฒนาเพื่อความยั่งยืน บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สนับสนุนโครงการ รถคันนี้ #ลดฝุ่น โดยมี นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร และผู้อำนวยการใหญ่สายธุรกิจ MOVE, นางสาวนริศรา ศรีสันต์ ที่ปรึกษากลยุทธ์สื่อสารองค์กร BTS และนายสุมิตร ศรีสันติธรรม ผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้เกียรติเข้าร่วมงาน
โดยโครงการนี้เป็นการเชิญชวนให้ประชาชนตรวจสอบสภาพรถยนต์ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือไส้กรอง เพื่อลดฝุ่น PM2.5 ร่วมกันขับเคลื่อนสร้างเมืองสู่เศรษฐกิจสีเขียว สำหรับประชาชนที่เข้าร่วมโครงการสามารถนำใบเสร็จการตรวจสอบสภาพรถ จากภาคีที่เข้าร่วมโครงการ มาแลกรับบัตรกำนัลมูลค่า 100 บาท ได้ที่สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส 5 แห่งที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ สถานีหมอชิต, สถานีสยาม, สถานีอโศก, สถานีช่องนนทรี และสถานีห้าแยกลาดพร้าว เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2567 หรือจนกว่าบัตรกำนัลจะหมด
นายชัชชาติ เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานคร ขอขอบคุณ บีทีเอส กรุ๊ปฯ ที่เข้าร่วมสนับสนุน “โครงการ รถคันนี้#ลดฝุ่น” พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมลดฝุ่น โดยเริ่มต้นที่ตัวเองด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ซึ่งจากการบูรณาการไร้รอยต่อลดฝุ่น PM2.5 โดยกรุงเทพมหานคร และกระทรวงพลังงาน ได้ขอความร่วมมือบริษัทผู้ค้าน้ำมัน และบริษัทผู้ค้ารถยนต์ จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการใช้น้ำมัน Euro5 และบำรุงรักษาเครื่องยนต์ ตามนโยบายปรับเปลี่ยนคุณภาพน้ำมันจาก Euro4 เป็น Euro5 โดยกระทรวงพลังงาน เนื่องจากน้ำมัน Euro5 มีกำมะถันลดลงกว่า 5 เท่า จึงส่งผลให้ลดการปล่อย PM2.5 ในเครื่องยนต์ดีเซลได้กว่า 20% อีกทั้งกรุงเทพมหานครได้ทำการทดสอบการปล่อย PM2.5 จากยานยนต์จำลองดีเซล Euro 3 ที่ผ่านการตรวจควันดำแล้ว ณ โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (อาทร สังขะวัฒนะ) เขตทุ่งครุ
โดยมีการตั้งข้อสังเกตระหว่าง ยานยนต์ที่ไม่มีการบำรุงรักษา และยานยนต์ที่มีการบำรุงรักษาโดยการเปลี่ยนไส้กรองรถยนต์ และน้ำมันเครื่อง ซึ่งได้ทดสอบโดย sensors ตรวจวัดคุณภาพอากาศจากโครงการ AIRLAB Microsensors Challenge 2023 ในห้องขนาดพื้นที่ 50 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งผลการทดสอบพบว่า ยานยนต์ที่มีการบำรุงรักษา โดยการเปลี่ยนไส้กรองรถยนต์ และน้ำมันเครื่องสามารถลดการปลดปล่อย PM2.5 ได้จริง ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์ และไส้กรองอากาศตามเวลา หรือก่อนระยะเวลาที่กำหนด จะสามารถช่วยลดการปล่อย PM2.5 ได้ถึง 25% และช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์ได้อีกด้วย
นายดาเนียล รอสส์ กล่าวว่า บีทีเอส กรุ๊ปฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ และมั่นใจว่าเป็นประโยชน์ต่อคนกรุงเทพมหานครอย่างแน่นอน โดยบริษัทฯ ได้มีการประกอบธุรกิจที่นอกเหนือจากรถไฟฟ้าบีทีเอส ตามที่ประชาชนทราบอยู่แล้วนั้น บริษัทฯ ยังมีการให้บริการธุรกิจขนส่งสาธารณะอื่น ๆ
ได้แก่ รถบัส เรือด่วนเจ้าพระยา และล่าสุดที่ได้มีการเปิดตัวรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Pinto ฯลฯ โดยบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการประกอบธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี นับตั้งแต่การเปิดให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสในปี 2542 เป็นต้นมา บีทีเอสได้ช่วยให้ผู้โดยสารมีส่วนร่วมในการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโลกร้อนไปแล้วกว่า 2.1 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จากการเดินรถไฟฟ้าจำนวนกว่า 4,000 ล้านเที่ยว ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ จำนวน 222 ล้านต้น ซึ่งบริษัทยังเป็นบริษัทขนส่งทางรางแห่งแรก และแห่งเดียวที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) และในฐานะที่บีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นบริษัทขนส่งที่ยั่งยืนที่สุดในโลก เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนทุกการเดินทางที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางด้วยรูปแบบใดก็ตาม
ทั้งนี้ประเทศไทยได้มีการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG emission) ภายในปี ค.ศ. 2065 เพื่อให้เป้าหมายดังกล่าวประสบความสำเร็จจะต้องได้รับความร่วมมือในทุกภาคส่วน จากทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ในการเป็นต้นแบบที่ดีให้กับสังคม และประชาชนในอนาคต บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในโครงการครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น ในอีกหลาย ๆ โครงการกับ กทม. เพื่อส่งเสริมการดำเนินงานร่วมกันในการผลักดันให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่สะอาด และมีสิ่งแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้น
สำหรับข้อกำหนด และเงื่อนไขการแลกรับบัตรกำนัลมีดังนี้
1.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือไส้กรองกับภาคีที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ Auto1, FIT Auto, Bangchak, Shell, PT, Autobacs, Cockpit, B-Quik, LIQUI MOLY, Hino, Toyota, Suzuki, Nissan, Mitsubishi Motors, Isuzu, Honda, Ford, Mazda
2.ผู้โดยสารนำใบเสร็จฉบับจริงของภาคีที่เข้าร่วมโครงการนี้มาแสดงที่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสที่เข้าร่วมโครงการ 5 สถานี ได้แก่ สถานีหมอชิต, สถานีช่องนนทรี, สถานีสยาม, สถานีอโศก และสถานีห้าแยกลาดพร้าว
3.ใบเสร็จลงวันที่ 18 ธันวาคม 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567
4.การให้สิทธิ์นี้ เฉพาะใบเสร็จที่ออกโดยร้านค้า ที่ร่วมลงทะเบียนเป็นภาคีกับโครงการนี้เท่านั้น
5.ใบเสร็จต้องเป็นแบบฟอร์มที่มีการระบุหมายเลขทะเบียนรถยนต์อย่างชัดเจน ไม่รับใบเสร็จที่เขียนเติม
เลขทะเบียนรถด้วยลายมือ
6.ต้องเป็นใบเสร็จฉบับจริงเท่านั้น ไม่รับสำเนาใบเสร็จ และใบเสร็จต้องมีเลขที่ผู้เสียภาษีกำกับอยู่
และบริษัทฯ ขอเก็บใบเสร็จสำหรับเป็นหลักฐานในการรับบัตรกำนัล
7.ขอสงวนสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการดังกล่าวเฉพาะสมาชิกแรบบิท รีวอร์ดส เท่านั้น โดยไม่จำกัดระยะเวลาการเป็นสมาชิกของผู้เข้าร่วมโครงการฯ
8.บัตรกำนัลมีมูลค่า 100 บาท สามารถนำมาแลกเป็นมูลค่าในบัตรแรบบิท สำหรับการใช้จ่ายในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส หรือ ร้านค้าที่สามารถชำระเงินด้วยบัตรแรบบิทได้ ทั้งนี้บัตรกำนัลไม่สามารถนำมาแลกเป็นเงินสดได้
9.ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถนำใบเสร็จการตรวจสอบสภาพรถ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง หรือไส้กรอง มารับบัตรกำนัล ได้ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2567 หรือจนกว่าบัตรกำนัลจะหมด
10.สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บีทีเอส โทรศัพท์ 0 2 – 617- 6000 Line official : @btsskytrain และ Facebook Page : รถไฟฟ้าบีทีเอส