พาราสาวะถี
พวกสุดโต่งที่จงเกลียดจงชังระบอบอุปโลกน์อย่างระบอบทักษิณ คงรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง เมื่อถูกย้อนศรจากสิ่งที่ตัวเองเรียกร้องมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีบนเส้นทางความขัดแย้ง
พวกสุดโต่งที่จงเกลียดจงชังระบอบอุปโลกน์อย่างระบอบทักษิณ คงรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง เมื่อถูกย้อนศรจากสิ่งที่ตัวเองเรียกร้องมาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีบนเส้นทางความขัดแย้ง เพราะตั้งแต่นายใหญ่หลบลี้หนีอยู่ในต่างประเทศ ก็มีการเรียกร้องให้ติดตามตัวมาลงโทษ ปรากฏว่า เมื่อมีการเดินทางกลับมาแล้วเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนทุกอย่าง จนกระทั่งได้รับการพักโทษ จะมาเรียกร้องแสดงความไม่พอใจอ้างไปต่าง ๆ นานา น่าจะดูเป็นพวกขี้แพ้ชวนตีเสียมากกว่า
อย่าได้บอกว่าเพราะเพื่อไทยคือแกนนำรัฐบาล มีอำนาจจึงทำให้ทุกอย่างเอื้อต่อ ทักษิณ ชินวัตร มันถูกต้องแค่ครึ่งเดียว เนื่องจากกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่อดีตนายกฯ กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิด จนกระทั่งถูกนำตัวไปส่งศาล การขอพระราชทานอภัยโทษ ล้วนแต่เกิดในรัฐบาลก่อนหน้าทั้งสิ้น ไม่ต่างจากบรรดากฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่ใช่การเขียนขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้คน ๆเดียว และไม่ได้เป็นฝีมือรัฐบาลปัจจุบันเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ เศรษฐา ทวีสิน กล้าที่จะตอบคำถามนักข่าวแบบฉะฉานเมื่อถูกถามถึงกรณีนี้ ย้อนหลังไป 10 กว่าปีที่แล้วมีการเรียกร้องให้ทักษิณกลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม เมื่อทักษิณกลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ก็มีการตรวจสอบ โรงพยาบาลตำรวจก็มีการตรวจสอบ คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรก็เข้าไปตรวจสอบ กระทรวงยุติธรรมก็มีมาตรฐานในการตรวจสอบอยู่แล้วใช่หรือไม่
ที่สำคัญมากไปกว่านั้น ที่ทักษิณถูกพิพากษาไปทุกฝ่ายก็เชื่อในระบบ วันนี้เข้าสู่กระบวนการในการที่จะรับโทษและได้รับการยกเว้นเพราะเหตุผล 1 2 3 4 5 ซึ่งก็เป็นกฎหมายที่เขียนไว้อยู่แล้ว เศรษฐาจึงตั้งคำถามย้อนกลับว่า จะต้องมาพูดกันเรื่องนี้ทุกวันหรือเปล่า เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ที่เจ็บจี๊ดสำหรับพวกอนุรักษนิยมสุดโต่ง จากบทสัมภาษณ์ของนายกฯ คงเป็นการใช้หลักการเดียวกันกับที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเคยใช้โต้ตอบฝ่ายเห็นต่างนั่นก็คือ “เราอยู่ร่วมกันด้วยอะไร ด้วยกฎหมาย และวันนี้เรื่องกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญทางกระบวนการ”
บอกแล้วว่า การเข้าสู่อำนาจหนนี้ของเพื่อไทย รวมไปถึงตัวเศรษฐา แม้กระทั่งทักษิณเอง ได้ผ่านการสรุปบทเรียนที่เคยผิดพลาดในอดีต และต้องไม่ทำซ้ำอีกเป็นอันขาด รวมถึงนำเอาวิทยายุทธ์ที่ขบวนการสืบทอดอำนาจเคยใช้มาเป็นเครื่องมือในการทำงานด้วย เหมือนคำตอบที่ว่าทักษิณถูกพักโทษเป็นไปตามกฎหมายแล้ว ต้องไปข้างหน้าดีกว่า วันนี้บ้านเมืองต้องการทำอะไรอีกหลายอย่างจากรัฐบาล หรือจากทุกภาคส่วน เรื่องความขัดแย้งต้องบริหารกันไป แต่ต้องตั้งอยู่บนบรรทัดฐานของความสงบ มีพื้นที่ของสภา มี สส. และมีเวทีวิชาการอยู่แล้ว มีเวทีที่สามารถพูดคุยกันได้
กรณีนี้เศรษฐาย้ำมาตลอดโดยบอกว่า “เป็นเวทีที่ปลอดภัย” แม้จะไม่พูดตรง ๆ แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณว่า ประเภทดิสเครดิตกันทางการเมือง หรือสร้างวาทกรรมทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายอย่าได้หาทำ ให้ใช้เวทีต่าง ๆ ดังว่าแลกเปลี่ยน ถกเถียงเพื่อให้ได้ข้อสรุปดีกว่า คงเหมือนกับการที่รัฐบาลใช้การเปิดเวทีให้ฝ่ายเห็นต่างแสดงความเห็นเต็มที่ จนนำไปสู่การตั้งอนุกรรมการรวบรวมความเห็นเพื่อให้ได้ข้อยุติ ก่อนจะกลับมาหารือกันอีกรอบสำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
จะเห็นได้ว่ากระบวนการทำงานการเมืองของเพื่อไทยรอบนี้ ได้มีการจัดวางบทบาท หน้าที่ของแต่ละส่วนไว้ชัดเจน เศรษฐามีหน้าที่ขับเคลื่อนในงานฝ่ายบริหาร จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าตัวจะยืนยันเมื่อถูกถามถึงคุณค่าที่จะด้อยลงไปหลังการกลับสู่อิสรภาพของทักษิณ ด้วยการยึดเอางานเป็นที่ตั้ง ลุยงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยต่อไป ใครจะพูดอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้สะทกสะท้านได้ ไม่ได้เป็นการบั่นทอนใด ๆ ทั้งสิ้น การยืนกระต่ายขาเดียวเช่นนี้ย่อมทำให้ประชาชนที่เป็นกองเชียร์สบายใจ และพร้อมสนับสนุนเต็มที่
เหตุที่กล้าพูดเช่นนี้ เพราะไม่จำเป็นที่จะต้องเอาตัวเองลงไปคลุกฝุ่นการเมือง เมื่อบทบาทของพรรคแกนนำรัฐบาลภายใต้การกุมบังเหียนของ แพทองธาร ชินวัตร นั้นถือว่ามีความแข็งแรงขึ้น ไม่ใช่เพราะจะมีพ่อมาเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่อบอุ่น ไม่ใช่ทีมกุนซือที่ล้วนแต่เขี้ยวลากดิน หากแต่พรรคร่วมรัฐบาลต้องยอมรับว่าจับมือกันเหนียวแน่น อันเป็นบทพิสูจน์ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรทางการเมือง ด้วยทำนองเช่นนี้จึงทำให้พวกลากตั้งขาประจำหงุดหงิด หัวเสีย ไม่ต่างจากพรรคฝ่ายค้านยิ่งก้าวไกลจากที่เคยคิดว่ากุมความได้เปรียบ รอเพียงเวลาที่เหมาะสม วันนี้ยังต้องควานหาปมทางการเมืองเพื่อดิสเครดิตฝ่ายกุมอำนาจ
ความจริงไม่ได้เพิ่งเกิด มีมาตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง จนถึงระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน กระทั่งเกิดการพลิกขั้ว ก็มีการเล่นเกมสาดโคลนแบบเนียน ๆ เรื่องนี้พรรคเพื่อไทยรู้ดีกว่าใครเพื่อน โดยเฉพาะบรรดาผู้สมัคร สส.ในหลายพื้นที่โดนมากับตัวเอง จนกลายเป็นพวกสอบตกเพราะฤทธิ์เดชของข่าวปล่อย ข่าวลวง ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เคยถูกกระทำด้วยเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองของพวกที่ทำตัวใสซื่อทางการเมือง จึงจับมือกันแน่น ช่วยกันเร่งสร้างผลงาน โดยหวังว่าจะสามารถสั่งสอนพวกห้าวเป้งทะลุเพดานได้
มองไปยังเครือข่ายที่เคยก่อหวอดทำให้ประเทศวุ่นวายจนเข้ารกเข้าพงมาตลอดระยะเวลาของความขัดแย้ง บรรดาแกนนำแต่ละรายแทบจะไม่เหลือความมีสง่าราศีใด ๆ มีเพียงบางรายเท่านั้นที่ได้เสพสุขกับประโยชน์ที่ได้รับจากความกล้าเป็นหัวหอกในเวลานั้น แต่ส่วนใหญ่รับรู้และยอมรับสภาพกันไปหมดแล้วว่า ที่ผ่านมาคือการต่อสู้ที่ผิดพลาด ล้มเหลว หาได้เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ไม่ สุดท้ายก็ต้องปล่อยมือเพื่อให้การเมืองของประเทศเดินไปในทิศทางที่ควรจะเป็น
ไม่ใช่แค่บรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายเท่านั้นที่จะต้องปรับตัวกันขนานใหญ่ บรรดาองค์กรที่ตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายกุมอำนาจเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามก็ต้องสังคายนากันครั้งใหญ่เช่นเดียวกัน เพื่อเรียกศรัทธา ความเชื่อถือเชื่อมั่นจากประชาชนให้กลับคืนมา ซึ่งมีประเด็นที่น่าติดตามว่า บางองค์กรหากผู้มีอำนาจเลือกที่จะแลกระหว่างความชอบธรรมกับการอุ้มสมผู้มีพระคุณ อาจจะต้องแลกด้วยการที่ต้องยอมรับกรรมทางกฎหมาย ไม่แน่ว่า อาจจะมีบางคนต้องติดคุกตอนแก่เหมือน กกต.บางคณะก่อนหน้านั้นก็เป็นได้