OSP โชว์กำไรปี 66 โต 24% แตะ 2.4 พันล้าน เคาะปันผลครึ่งปีหลัง 0.45 บาท
OSP กวาดกำไรปี 66 แตะ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% รับธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังหนุน บอร์ดไฟเขียวจ่ายปันผลครึ่งปีหลัง 0.45 บาท ขึ้น XD วันที่ 2 พ.ค. 67 และกำหนดจ่าย 23 พ.ค. 67 กางแผนปี 67 มุ่งสร้างการเติบโตตามแผน
นางวรรณิภา ภักดีบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 26,062 ล้านบาท โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส เป็นผลจากการดำเนินกลยุทธ์เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ควบคู่การสื่อสารการตลาดที่สร้างความแตกต่างผ่านโครงการเอ็ม-150 ซุปเปอร์สตาร์ ทำให้แบรนด์ ‘เอ็ม-150’ เป็นผู้นำตลาดที่ครองใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงแรงสนับสนุนจากแบรนด์ ลิโพที่เติบโตโดดเด่นในปีนี้ ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ฟังก์ชันนัลดริงก์ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมนำเสนอคุณประโยชน์ใหม่ๆ รวมถึงการใช้ช่องทางการสื่อสารที่สอดรับกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย ผลักดันให้แบรนด์ “เปปทีน” และ “คาลพิส แลคโตะ” เติบโตทั้งส่วนแบ่งการตลาดและรายได้ที่ขยายตัวโดดเด่นเป็นตัวเลขสองหลัก
ส่วนแบรนด์ “ซี-วิท” ครองตำแหน่งผู้นำตลาดในกลุ่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของวิตามินซีได้อย่างแข็งแกร่ง สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในต่างประเทศมีรายได้เติบโตแข็งแกร่งเป็นตัวเลขสองหลักจากเมียนมาร์และลาว ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีอัตราเติบโตได้ดีจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายทั้งแบรนด์ ‘ทเวลฟ์ พลัส’ และแบรนด์ “เอ็กซิท” ซึ่งแบรนด์ ทเวลฟ์ พลัส ก้าวเป็นผู้นำอันดับ 2 ของตลาด ขณะที่แบรนด์ “เบบี้มายด์” ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์สบู่อาบน้ำและแป้งเด็ก ชูแคมเปญการตลาด “The Power of Gentle Touch พลังสัมผัสอันอ่อนโยน สานสัมพันธ์ให้แข็งแรง” ปรับสูตรใหม่ออร์แกนิก 100% และเปลี่ยนใช้บรรจุภัณฑ์ปลอดภัยและดีต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ บริษัทได้รับการประเมินเป็นหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในระดับ AA และรางวัล CGR (Corporate Government Report) 5 ดาวประจำปี 2566 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการนำแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กร
สำหรับกำไรสุทธิสำหรับปี 66 อยู่ที่ 2,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากปีก่อน และกำไรจากการดำเนินงานปกติ หากไม่นับรวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจและปันผลจากเงินลงทุนอยู่ที่ 2,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน สะท้อนความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 34.5% ขยายตัว 3.9% จากปีก่อน และแตะระดับสูงสุดในไตรมาส 4 ที่ 35.5% ส่วนกำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาส
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติเสนอจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานในปี 2566 ในอัตรา 1.65 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงิน 4,956 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 206% โดยแบ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลพิเศษ 0.80 บาทต่อหุ้น เงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้น เงินปันผลที่ต้องจ่ายจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังอีก 0.45 บาทต่อหุ้น OSP โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผลวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 และจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลใน วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ต่อไป ทั้งนี้ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ร้อยละ 7.9 (คำนวณจากราคาหุ้น ณ วันที่ 31 มกราคม 2567)
ส่วนทิศทางการดำเนินงานในปี 67 บริษัทจะยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตตามแผนยุทธศาสตร์และก้าวข้ามความท้าทายต่าง ๆ ด้วยการพัฒนาและปฏิรูปองค์กรอย่างไม่หยุดยั้ง มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตผ่านผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่คำนึงถึงผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ผู้บริโภคอันเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ตลอดจนเพิ่มศักยภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามาช่วยขับเคลื่อนองค์กร รวมถึงการพัฒนาองค์กรอย่างความยั่งยืนทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และดำเนินกลยุทธ์มองหาโอกาสการเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) เพื่อส่งเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจ ผลักดันผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น และมุ่งสู่เป้าหมายการเป็นพลังเพื่อชีวิตที่ยั่งยืนให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย