โดนหนัก
หลังจาก “โมนิก้า” ให้พื้นที่ข่าวกับหุ้นที่ผู้บริหารที่วัน ๆ เอาแต่หมกหมุ่นเรื่องของราคาหุ้นมาระยะหนึ่ง และมีแต่พวกลิ่วล้อเข้ามาช่วยยกหางแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็ถึงเวลาที่ต้องเม้าท์ถึงสภาพตลาดหุ้นเสียที
หลังจาก “โมนิก้า” ให้พื้นที่ข่าวกับหุ้นที่ผู้บริหารที่วัน ๆ เอาแต่หมกหมุ่นเรื่องของราคาหุ้นมาระยะหนึ่ง และมีแต่พวกลิ่วล้อเข้ามาช่วยยกหางแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็ถึงเวลาที่ต้องเม้าท์ถึงสภาพตลาดหุ้นเสียที เพราะแรงขายที่ออกมาตลอดสัปดาห์ก่อนทำให้รู้ว่า ตลาดหุ้นไทยยังไม่พร้อมขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้สวยหรูเหมือนที่ประมาณการกันไว้น่ะซี
ประกอบกับมีความกังวลเกี่ยวกับผลงานในไตรมาส 1 จะออกมาไม่ดี รวมทั้งฝรั่งยังเดินหน้าขายหุ้นไม่หยุด จนดัชนีทรุดตัวหลุดแนวรับ 1,380 จุดลงมาอีกครั้ง และมีสิทธิ์ลงไปทดสอบแนวรับ 1,350 จุดแบบนี้ “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างแน่นอน ซึ่งสังเกตได้จากการชักเย่อระหว่างแรงซื้อแรงขายเมื่อวันศุกร์ ก่อนดัชนีจะปิดไปที่ระดับ 1,367.42 จุด ลบไป 3.25 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.95 หมื่นล้านบาทไงล่ะคะ
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้หุ้นบลูชิพตกอยู่ในที่นั่งลำบากอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้อาจมีประเด็นที่ทำให้ไม่สบายใจมากกว่าครั้งก่อน เพราะคนที่เป็น รมว.คลัง ซึ่งคุมงานทางด้านเศรษฐกิจมัวแต่เดินสายโชว์ตัว ส่งผลไม่มีงานชิ้นไหนที่ออกมาเป็นรูปเป็นร่างสักอย่าง หรือแม้กระทั่งบรรดาทีมเศรษฐกิจก็ไม่เห็นโชวกึ๋นอะไรออกมาเลย เดี๊ยนเลยสังหรณ์ใจว่า เที่ยวนี้ตลาดหุ้นไทยโดนหนักแน่ ๆ พะย่ะค่ะ
ขนาดหุ้นตัวแรงที่ฝรั่งหัวดำชอบเล่นเป็นประจำอย่าง DELTA ยังถูกรินขายต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2 เดือน จนราคาหุ้นทำนิวโลว์ต่อเนื่องแบบนี้ มันเป็นเกมที่ชี้ให้เห็นว่า ไม่มีคนเล่น! เพราะไม่มีสตอรี่ใหม่ที่ทำให้เชื่อว่า กำไรปีนี้จะโตสวนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ราคาหุ้นถึงลงมายืนปิดที่ระดับ 68 บาท ลบไป 3.25 บาท หรือลงไป 4.55% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 966 ล้านบาทแบบไม่มีแรงซื้อสวนเจ้าค่ะ
เหตุการณ์ข้างต้นคล้ายกับ BJC แต่ต่างกันนิดหนึ่งตรงที่หุ้นตัวนี้ยังประคองตัวที่แนวรับสุดท้าย 24 บาทได้อย่างเหนียวแน่น จึงกลายเป็นช็อตที่ “โมนิก้า” ให้ความสนใจมากพอสมควร บวกราคาหุ้นตอบรับข่าวร้ายไปเยอะ จึงเชื่อว่า การยืนปิดที่ระดับ 24 บาท ลบไป 0.20 บาท หรือลงไป 0.85% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 855 ล้านบาท เป็นจุดที่ทยอยสะสมหุ้นได้ เพราะเมื่อดูจาก BV เกือบ 30 บาท น่าจะคุ้มกับการเล่นนะตัวเอง
ส่วนรายที่น่าเป็นห่วงกลายเป็น ORI หลังราคาหุ้นไหลลงมาเรื่อย ๆ ท่ามกลางกระแสข่าวกำไรไม่โต และพอประกาศงบออกมาจริง ๆ กำไรก็ลดฮวบไปครึ่งหนึ่ง จึงกลายเป็นชนวนเหตุให้นักลงทุนสาดหุ้นออกมาไม่ยั้ง จนสุดท้ายหุ้นยืนปิดที่ระดับ 6.85 บาท ลบไป 0.75 บาท หรือลงไป 9.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 368 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 5 เท่าแบบนี้ น่าจะหาจังหวะช้อนหุ้นไว้บ้าง..จริงหรือไม่? ลองไปคิดกันดูนะคะ
น่าเสียดายที่ทฤษฎีข้างต้นไม่สามารถใช้ได้กับหุ้น BTS เพราะรายนี้ต้องฝ่าวิบากกรรมอีกหลายอย่าง และดูเหมือนนักเล่นจะมีความกังวลกับเรื่องรถไฟฟ้าสายใหม่ที่ยังไม่ทำเงิน จึงมีแรงขายทยอยออกมาเป็นระลอก จนราคาหุ้นลงมายืนปิดที่ระดับ 5.05 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 1.95% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 583 ล้านบาท พร้อมกับทำนิวโลว์ในรอบหลายปีแบบนี้..เฮียต้องเร่งทำผลงานหน่อยนะคะ
สำหรับรายที่เร่งเครื่องไม่ขึ้น และทำให้นักเล่นต้องลุ้นเหนื่อย “โมนิก้า” คงต้องมองไปที่หุ้นประกันชีวิตอย่าง TLI ซึ่งก่อนหน้านี้พยายามยกตัวสูงขึ้น แต่สุดท้ายก็ม้วนตัวกลับมาที่เดิม จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลสำหรับคนที่ยังถือหุ้นอยู่ในพอร์ต เพราะเป็นเวลาร่วมเดือนที่ราคาหุ้นวนเวียนไปมาที่บริเวณ 8.50 บาท จึงอยากให้นักลงทุนประเมินการยืนปิดที่ระดับ 8.65 บาท ลบไป 0.35 บาท หรือลงไป 3.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 393 ล้านบาท น่าสนใจไหม?
ตบท้ายกันที่หุ้น OSP ซึ่งไหลลงมาเรื่อย ๆ จนล่าสุดยืนปิดที่ระดับ 19.20 บาท ลบไป 1.10 บาท หรือลงไป 5.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 673 ล้านบาท พร้อมกับทำ all time low และถือเป็นปีที่ราคาหุ้นย่ำแย่สุดนับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นมาเป็นเวลา 5 ปีกว่า มันน่าจะเกี่ยวข้องกับผลงานอย่างแน่นอน และสถานการณ์ตรงนี้ทำให้เชื่อว่า นักลงทุนอาจได้เห็นราคาที่ต่ำกว่านี้..ขนาดผลงานปี 66 ดีกว่า ปี 65 แต่ราคาหุ้นกลับลงลูกเดียวแบบนี้..มันคืออะไร?…มันคืออะไร?