SUPER ปักหมุดปี 67 รายได้โต 10% จ่อประมูลงานรัฐ “วินด์ฟาร์ม-โซลาร์ฟาร์ม” 5 พันเมกฯ

SUPER กางแผนปี 67 รายได้โต 10% ทำนิวไฮ รับรายได้ COD โรงไฟฟ้า-โซลาร์รูฟท็อป เตรียมแผนเข้าประมูลขายไฟฟ้า “วินด์ฟาร์ม-โซลาร์ฟาร์ม” รวม 3,600 – 5,000 เมกะวัตต์ของภาครัฐ เล็งจับมือพันธมิตรหวังลดหนี้-ขยายการลงทุน วางเป้าปี 69 รายได้แตะ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท


นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 14 มี.ค.67 ว่า ผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 10,130.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.84% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 9,571.41 ล้านบาท และมี EBITDA จำนวน 7,837.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.63% เมื่อเทียบกับปีก่อนหรือคิดเป็น EBITDA Margin 80% ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและคงที่

ขณะที่กำไรก่อนหักผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 763.16 ล้านบาท ลดลง 40.31% เนื่องจากปลายปี 2566 สินทรัพย์ของบริษัทในประเทศเวียดนามมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย จึงเป็นผลขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยนของบัญชี รวมถึงหนี้สินยังคงสูงและอัตราดอกเบี้ยที่เร่งตัวขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสำหรับปี 2566 จำนวน 117.83 ล้านบาท

“ปัญหาหลักๆ ที่บริษัทมุ่งมั่นจะเดินหน้าแก้ไข เป็นสาเหตุจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง เช่น อัตราดอกเบี้ยในไทยที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเป็น 6% จากเดิมอยู่ที่ 4% และต้นทุนดอกเบี้ยฝั่งสกุลเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นสู่ 9% จากเดิมที่ 4.5% ทำให้บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องหาวิธีปรับแผนการดำเนินงานและรับมือ โดยการนำพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมลงทุน เพื่อดำเนินงานต่อยอด ปลดล็อคกำไรพิเศษ และเพิ่มกระแสเงินสดพิเศษเข้ามา ช่วยแก้ไขภาวะดอกเบี้ยสูงและปรับลดหนี้สินลงได้” นายจอมทรัพย์ กล่าว

โดยกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนแผนดำเนินงาน บริษัทมุ่งเน้นไปที่ 1.) การนำพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งเข้ามาร่วนทุนในโครงการต่างๆ โดยดึง AC ENERGY VIETNAM พัฒนาธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังผลิต 836 เมกกะวัตต์ โดยคาดการณ์ว่าเฟส 2-4 จะสามารถรับรู้รายได้อีกราว 114 ล้านเหรียญ หรือ 4,161 ล้านบาทในปี 2567  2.) จัดตั้งโครงการร่วมทุนกับกองทุนกองทุนพลังงานยักษ์ใหญ่อังกฤษ Actis Energy Fund 5 ลงทุนในส่วนโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานทดแทน โดยบริษัทมีการรับรู้รายได้ไปแล้วราว 8,115 ล้านบาท ใช้ในการปรับลดหนี้ไป 4,000 ล้านบาท และอีกส่วนที่เหลือนำมาลงทุนใหม่ในการขยายในเวียดนาม จะช่วยสนับสนุนกำไรเพิ่มขึ้นได้ 3.) การขยายและประมูลงานภาครัฐใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้และกำไร และ 4.) ดำเนินการขยายไฟฟ้าโดยตรงให้กับลูกค้าของการไฟฟ้า

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2567 บริษัทฯ มีความพร้อมในการขยายธุรกิจ และพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบทั้งในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทมีการวางแผนทางการเงินเพื่อให้สามารถรองรับแผนการขยายธุรกิจ สนับสนุนการเติบโตของบริษัทฯ โดยในปี 2567 ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ช่วงเดียวกันของปีก่อนได้

ทั้งนี้ บริษัทฯมีพันธมิตรที่เข้าร่วมทุน ได้แก่  AC ENERGY VIETNAM INVESTMENTS PTE. LTD. (ACEV) เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 49% ในธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศเวียดนาม จำนวน 9 โครงการ กำลังการผลิต 836.72 เมกะวัตต์  และล่าสุดกองทุนพลังงานในประเทศอังกฤษ บริษัทในเครือของกองทุน Actis Energy Fund 5  เข้าซื้อหุ้นบริษัท ทานตะวันโซล่าร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ในสัดส่วน 90% มูลค่า 4,691 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย กำลังการผลิตรวม 139.40 เมกะวัตต์

“ที่ผ่านมาบริษัทฯ ทยอยปรับโครงสร้างบริหารจัดการ เร่งลดภาระหนี้ดอกเบี้ย ซึ่งเป็นที่น่าพอใจ การดึงพันธมิตรเข้ามาถือหุ้นในบริษัทย่อย เป็นการเดินตามแผนและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพราะนอกจากช่วยสนับสนุนในด้านเงิน และเป็นการเพิ่มโอกาสในการรับงาน อย่างดีล Actis Energy Fund 5 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถปิดดีลได้ในไตรมาส 2 ของปีนี้ รวมทั้งยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารกรุงเทพ พร้อมสนับสนับสนุนการขยายโรงไฟฟ้าใหม่อีกด้วย” นายจอมทรัพย์กล่าว

นายจอมทรัพย์ กล่าวเพิ่มว่า รายได้ในปีนี้จะมาจากการทยอยรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ (COD) วินด์ฟาร์มในเวียดนาม กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ และในปี 2568 จำนวน 100-141 เมกะวัตต์  รวมทั้งโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ โซลาร์รูฟท็อป โครงการการขยายงานสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Private PPA) และโครงการ SPP HYBRID เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทฯมีแผนเข้าประมูลขายไฟฟ้าในส่วนของพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 3,600-5,000 เมกะวัตต์ของภาครัฐ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะได้งานไม่น้อยกว่า 10% ของกำลังการผลิตทั้งหมด โดยปัจจุบันบริษัทฯมีกำลังการผลิตตามปริมาณเสนอขายตาม PPA ที่ 2,369.79  เมกะวัตต์ COD ไปแล้ว 1,626.11 เมกะวัตต์ และในปี 2570 บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ากว่า 2,200  เมกะวัตต์ และมีรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดสร้างสถิติสูงสุดใหม่

ขณะที่แผนการดำเนินงานในอีก 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ คาดการณ์รายได้ปี 2569 จะเติบโตสู่ระดับ 15,000-16,000 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้โครงการพลังงานทดแทนที่ประมูลได้มาเมื่อปี 2566 ประกอบด้วย พลังงานลม, พลังงานแสงอาทิตย์, พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งร่วมกับระบบเก็บพลังงาน และสำหรับขยะอุตสาหกรรม จำนวน 19 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 361.196 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 185.50 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทฯ เตรียมก่อสร้างโครงการดังกล่าวในปีนี้ โดยวางงบลงทุนไว้ประมาณ 12,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะสามารถทยอยจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

สำหรับกำลังโครงการที่กำลังพัฒนาในอนาคต บริษัทผลักดันการปรับลดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (DE Ratio) เพิ่มการดำเนินงานและขยายงานเพิ่มเติม รวมถึงเข้าไปควบคุมและดูแลอัตราแลกเปลี่ยนให้ดีขึ้น โดยบริษัทเน้นการหาพันธมิตรเพิ่ม อาทิ ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ขณะนี้บริษัทระหว่างเลือกพาร์ทเนอร์เข้ามาลงทุนเพิ่มเติม ส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลม มีสัดส่วนรายได้อยู่ในเมืองไทย 64% และเวียดนาม 36% ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินงาน และจะต้องก่อสร้างเพิ่มเติม และโครงการ New PPA Bidding กำลังติดตั้ง 360 เมกกะวัต ซึ่งใช้เงินลงทุนราว 14,000 ล้านบาท จะขยายโครงการเพิ่มเติมในสปป.ลาว ลาว อีก 1 โครงการโดยเป็นการดำเนินการขยายไฟไปยังเวียดนาม

สรุปข้อมูลสำคัญของบริษัทจดทะเบียนตามรอบบัญชี (Company Snapshot)

9M/64

Back to top button