“เจพีมอร์แกน” เคาะซื้อ SCB เป้า 130 บาท ชูจ่ายปันผล 80% ของกำไรสุทธิ
“เจพีมอร์แกน” แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SCB ราคาเป้าหมาย 130 บาท ชูเป็นหุ้นปันผลเด่น อัตราการจ่ายปันผลที่ระดับ 80% ของกำไรสุทธิ พร้อมแนะเก็บ TISCO ช่วงย่อตัว หลังยีลด์สูงกว่า 8%
เจพี มอร์แกน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มธนาคารไทยใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ในการฟื้นตัวจากปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ เนื่องจากเศรษฐกิจบางภาคส่วนต้องเผชิญกับภาวะถดถอยของงบดุล ส่งผลให้หนี้ต่อรายได้และมูลค่าสินทรัพย์ค้ำประกันสำหรับผู้กู้ยืมทั้งกลุ่มผู้บริโภค SME และบริษัทอาจมีผลประกอบการที่แย่ลงกว่าคาดการณ์ โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ทั้งเจพีมอร์แกน และตลาดยังไม่มีความเชื่อมั่นที่สูงพอสำหรับผลประกอบการและ Book Value ในกลุ่มแบงก์
โดยปัจจุบันการซื้อขายหุ้นมักมองกันที่การจ่ายปันผลมากกว่าค่า PE/PB ขณะที่หุ้นมีความผันผวนค่อนข้างสูงหากมองในรูปแบบของผลตอบแทนระยะสั้น และการที่ฝ่ายบริหารพยายามคืนทุนให้กับผู้ถือหุ้นในรูปแบบของปันผลนั้นอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาหุ้นได้
อย่างไรก็ตาม เจพีมอร์แกน ระบุว่า ยังมีในบางกรณีที่การปรับปรุงมูลค่าหุ้นตามบัญชี (Adjusted Book Value) นั้นสูงมากจนอาจส่งผลให้ความเป็นไปได้ที่จะได้ผลตอบแทนระยะกลางที่สูงกว่าคาดนั้นอาจทำให้นักลงทุนยังไม่เปลี่ยนมามองหุ้นที่ปันผลแทน โดยเจพีมอร์แกนสรุปว่าปันผลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่กไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะเป็นตัวผลักดันดัชนีได้
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนคงมุมมอง “Overweight” หรือ “ซื้อ” สำหรับ SCB (ราคาเป้าหมาย 130 บาท) โดยมองว่าอัตราการจ่ายปันผลที่ระดับ 80% จะคงอยู่ไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งจะทำให้อัพไซด์ของราคาหุ้นนั้นช้าลงแต่มั่นคง
สำหรับคำแนะนำของ KTB (ราคาเป้าหมาย 16.50 บาท ลดลงจาก 24 บาท) ถูกปรับลดลงจาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” โดยอัตราปันผลตอบแทนที่ 7% นั้นอยู่ในระดับเกือบล่างสุดของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แต่ยังมีข้อได้เปรียบจากแบงก์อื่นๆ ตรงที่เริ่มมาเน้น ROA/ROE มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งเจพีมอร์แกนเชื่อว่าการคำนวนด้วยวิธีการดู PE/PB จะเป็นมาตรวัดที่ดีสำหรับหุ้นตัวนี้ อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการเติบโตของ EPS ในปี 68-69 จะคงที่หลังจากเพิ่มขึ้น 19% ในปีนี้
โดย KTB มีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (LLR) ต่อสินเชื่อสูงที่สุดเป็นอันดับสองโดยอยู่ที่ 6.7% ในกลุ่มในขณะที่ Coverage Ratio อยู่ที่175%
นอกจากนั้น เจพีมอร์แกน ยังปรับลดคำแนะนำของ BBL (ราคาเป้าหมาย 150 บาท จากเดิม 195 บาท) เช่นกัน จากเดิมแนะนำ “ซื้อ” เป็น “ถือ” โดยระบุว่า BBL มีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ (LLR) สูงที่สุดในกลุ่ม แต่ยังมีความเสี่ยงที่สูงในกลุ่มเช่นกันจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ โดย BBL มี Coverage Ratio ที่สูงที่สุดในกลุ่มอยู่ที่ 290% เทียบกับแบงก์อื่นๆ ที่อยู่ในช่วง 140-190% นอกจากนั้นปันผลยังต่ำที่สุดในกลุ่ม และฝ่ายวิเคราะห์มองว่าอาจยังไม่เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นข้างหน้านี้
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนเชื่อว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับลดลงจากระดับสูงแล้ว BBL จะเป็นหุ้นที่ได้รับความเสี่ยงต่อ NIM มากที่สุด
เจพีมอร์แกน ยังคงคำแนะนำ “ถือ” หุ้น TTB (ราคาเป้าหมาย 1.90 บาท จาก 1.55 บาท) โดยบริษัทมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวก นอกจากนั้นยังมองว่าผลประโยชน์ทางภาษีที่ได้จากการยกเลิกกิจการของบริษัทย่อย คือบริษัท ทีบีซีโอ เดิมคือ ธนาคารธนชาต (TBANK) จะช่วยเพิ่มในส่วนรายได้อื่นๆ ให้กับบริษัท และจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้ได้ 0.14 บาทต่อหุ้น โดยราคาหุ้นรับรู้ปัจจัยบวกดังกล่าวไปแล้วทำให้ราคาอยู่ในระดับสูงเกินกว่าจะเข้าซื้อ โดยแนะนำให้ทยอยเก็บในช่วงที่ราคาหุ้นย่อลงมา
นอกจากนั้น เจพีมอร์แกน ยังคงคำแนะนำ “ถือ” หุ้น TISCO (ราคาเป้าหมาย 100 บาท จากเดิม 95 บาท) โดยระบุว่าเป็นหนึ่งในแบงก์ที่มีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีที่สุดในช่วงที่ผ่านมานี้ และแม้คาดว่าจะมีกำไรที่ลดลงในปีนี้ (จากต้องทุน และ NIM) โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตราปันผลตอบแทนจะอยู่ที่ราว 8% และมองว่าเมื่อหุ้นปรับตัวย่อลง (คาดว่าในวัน XD 24 เม.ย.) จะเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าเก็บหุ้น
ส่วนของ KBANK (ราคาเป้าหมาย 105 บาท) เจพีมอร์แกนยังคงคำแนะนำ “ขาย” ไว้ตามเดิม โดยมองว่าให้อัตราปันผลตอบแทนอยู่ที่ราว 6% และยังมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง