JAS บวกต่อ 3% นิวไฮรอบ 16 เดือน เก็งซื้อหุ้นคืน หลังเงินสดล้น 9 พันล้าน
JAS บวกต่อ 3% นิวไฮรอบ 16 เดือน เก็งซื้อหุ้นคืน หลังเงินสดล้น 9 พันล้านบาท ด้าน“บล.กสิกรไทย” มองผลดีซื้อหุ้นคืนทำให้หุ้นในกระดานน้อยลง-กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น-ราคาหุ้นมีโอกาสสูงขึ้น และถือเป็นการจ่ายปันผลทางอ้อมวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ข้อบังคับการซื้อหุ้นคืนหากซื้อไม่เกิน 10% ทำได้ทันทีไม่ต้องใช้มติผู้ถือหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (2 เม.ย.67) ราคาหุ้น บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ณ เวลา 12:06 น. อยู่ที่ระดับ 2.42 บาท บวก 0.086 บาท หรือ 2.56% สูงสุดที่ระดับ 2.44 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.34 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 162.39 ล้านบาท ราคาหุ้นปรับตัวแรงในรอบ 16 เดือน โดยเทียบตั้งแต่หุ้นยืนที่ระดับ 2.44 บาท เมื่อวันที่ 18 พ.ย.65
จากกรณี JAS รายงานผลการดำเนินงานปี 2566 มีกำไรสุทธิ 19,837 ล้านบาท เทียบกับปี 2565 ที่มีขาดทุนสุทธิ 2,029 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 21,866 ล้านบาท ขณะที่ EBITDA ปี 2566 อยู่ที่ 23,875 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 28,794 ล้านบาท เทียบกับปี 2565 ที่มีรายได้รวม 1,788 ล้านบาท โดยมีกำไรจาการขายหุ้นบริษัท ทริปเปิล ที บรอดแบนด์ จำกัด (3BB) และขายหน่วยกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) กว่า 26,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการ JAS อนุมัติงดการจ่ายเงินปันผลงวดประจำปี 2566 และไม่จัดสรรเงินกำไรสุทธิไว้เป็นเงิน ทุนสำรองตามกฎหมายหลังมีการจัดสรรทุนสำรองฯ ครบตามขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดแล้ว ทั้งนี้ JAS ระบุว่า บริษัทมีแผนดำเนินธุรกิจต่อเนื่องในบริษัทย่อย และวางแผนลงทุนเพิ่มเติมธุรกิจด้าน Generative AI พลังงานสะอาด และบริการด้านสุขภาพ เพื่อสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ ๆ ที่จะสร้างความมั่นคงให้บริษัทที่ยั่งยืนและสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง
กรณีดังกล่าวจึงมีการตั้งข้อสังเกตจากทั้งผู้ถือหุ้นและนักลงทุนว่า JAS จะมีรายละเอียดของแผนนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น 3BB และหน่วยลงทุน JASIF ไปลงทุนหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น เพื่อชดเชยจาการงดจ่ายปันผลได้อย่างไรบ้าง
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า หากดูจากงบการเงินล่าสุด (สิ้นสุดปี 2666) JAS จะมีเงินสดกว่า 9,000 ล้านบาท และมีโอกาสที่ JAS จะนำเงินไปลงทุนกิจการอื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้ในอนาคตทดแทนรายได้จาก 3BB และผลตอบแทนจาก JASIF ที่ขายให้กับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ช่วงปลายปีที่ผ่านมา
โดยก่อนหน้านี้แหล่งข่าววงการเงิน เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ในช่วงประมาณเดือนมีนาคม 2567 JAS เตรียมจัดประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการซื้อหุ้น (Treasury Stock) เพื่อบริหารทางการเงิน เนื่องจากมองว่าราคาหุ้น JAS ที่ซื้อขายอยู่ในกระดานปัจจุบันต่ำกว่าพื้นฐานมากเกินไป จึงเตรียมเงินไว้สำหรับดำเนินการทำ treasury stock ซึ่งจะเป็นผลดีกับผู้ถือหุ้นมากกว่า และถือเป็นเหตุผลหนึ่งที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติงดนำกำไรสุทธิของบริษัทมาจ่ายปันผลประจำปี 2566
สำหรับผลดีจากการซื้อหุ้นคืนดังกล่าวในแง่ผู้ถือหุ้น JAS จะได้ประโยชน์จากกำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่ถูกซื้อคืนจะไม่ถูกนำมาคำนวณกำไรต่อหุ้น มีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นในระดับที่ P/E เท่าเดิม
ในแง่บริษัท ถือเป็นการช่วยเพิ่มอุปสงค์ของหุ้น และอาจส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น เป็นการลดจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนซื้อขายในตลาด ส่งผลให้กำไรสุทธิต่อหุ้นสูงขึ้น และใช้เป็นเครื่องมือทางการเงินในการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินบริษัทให้เกิดประสิทธิผล
นอกจากนี้ เป็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน หากผู้บริหารของบริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานและเห็นว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของกิจการอย่างมีนัยสำคัญ และการซื้อหุ้นคืนและขายกลับช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่วนของผู้ถือหุ้น โดยบันทึกผลต่างของราคาเป็นส่วนเกินมูลค่าหุ้นซื้อคืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของส่วนผู้ถือหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วง 14 ปีที่ผ่านมา JAS มีการซื้อหุ้นมาแล้ว 6 ครั้ง เริ่มจากปี 2552 จำนวน 1,397,727,200 หุ้น หรือ 14.82% มูลค่ารวม 615 ล้านบาท, ปี 2553 จำนวน 739,949,138 หุ้น หรือ 10% มูลค่ารวม 300 ล้านบาท, ปี 2554 จำนวน 724,425,137 หุ้น หรือ 10% มูลค่ารวม 300 ล้านบาท, ปี 2555 จำนวน 106,857,000 หุ้น หรือ 1.47% มูลค่ารวม 298 ล้านบาท, ปี 2557 จำนวน 713.73 ล้านหุ้น หรือ 10% มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท, ปี 2559 จำนวน 1,200 ล้านหุ้น หรือ 16.82% มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท โดยทั้ง 6 ครั้งไม่มีการขายหุ้นที่ซื้อคืนออกมา แต่ใช้วิธีการลดทุนด้วยการตัดหุ้นที่ซื้อคืนออกไปทั้งหมดแทน
ด้านนายพิสุทธิ์ งามวิจิตรวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากแผนการซื้อหุ้นคืนของ JAS เกิดขึ้นจริง ถือว่าเป็นผลดีต่อผู้ถือหุ้น เนื่องจากจะทำให้กำไรต่อหุ้นสูงขึ้น จากจำนวนหุ้นที่ลดลง ซึ่งถือว่าเป็นการจ่ายปันผลทางอ้อมวิธีหนึ่ง
“ผลดีจากการซื้อหุ้นคืนจะทำให้จำนวนหุ้นในกระดานน้อยลง กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาหุ้น JAS เพิ่มขึ้นด้วย” นายพิสุทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าจะซื้อหุ้น JAS คืนไม่เกิน 10% โดยจะใช้เงินเพียง 1,600 ล้านบาท (คิดจากราคาหุ้นปัจจุบัน) เท่านั้น โดยปัจจุบันกำไรสะสมในงบเฉพาะกิจการมีจำนวน 271 ล้านบาท และงบการเงินรวม 1,900 ล้านบาท ขณะที่สภาพคล่องมีกว่า 9,000 ล้านบาท จึงเพียงพอที่จะซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้
นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นรายย่อยหรือรายใหญ่ มีโอกาสที่จะขายหุ้น JAS คืนให้กับบริษัทได้ จากปัจจุบันบริษัทมีหุ้นทั้งหมด 8,500 ล้านหุ้น คาดว่าจะซื้อหุ้นคืนจำนวน 850 ล้านหุ้น หรือ 10% ของหุ้นทั้งหมด
สำหรับข้อบังคับการซื้อหุ้นคืน หากซื้อหุ้นคืนน้อยกว่าหรือเท่ากับ 10% ของทุนชำระแล้ว มอบอำนาจให้คณะกรรมการมีอำนาจตัดสินใจในการซื้อหุ้นคืนได้ แต่หากซื้อหุ้นคืนมากกว่า 10% ของทุนชำระแล้วต้องขอความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นและต้องซื้อหุ้นคืนภายใน 1 ปี