NEO ลุยเทรด SET 9 เม.ย.นี้ ระดมทุน 3 พันล้านขยายกำลังผลิต หนุนรายได้โต
NEO เตรียมเข้าเทรด SET 9 เม.ย.นี้ ราคาไอพีโอ 39 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 3 พันล้านบาท นำเงินขยายกำลังผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน รวมถึงขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ เพื่อรองรับแผนการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยินดีต้อนรับ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคและบริโภค หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า NEO ในวันที่ 9 เมษายน 2567
โดย NEO ประกอบธุรกิจทำการตลาด ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภค ซึ่งประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลและผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ที่ประสบความความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งหมด 8 แบรนด์ อาทิ ไฟน์ไลน์ (Fineline), ดีนี่ (D-nee), บีไนซ์ (BeNice), เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense), ทรอส (TROS), วีไวต์ (Vivite), สมาร์ท (Smart) และโทมิ (Tomi) โดยบริษัทมุ่งมั่นพัฒนา และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพหลากหลายในราคาที่เหมาะสมเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค
ทั้งนี้มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหลัง IPO จำนวน 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวน 87.5 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 78 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของ บริษัท เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ FNS จำนวน 9.5 ล้านหุ้น
โดยเสนอขายต่อกรรมการผู้บริหารและพนักงานของบริษัท, บริษัทย่อย, ผู้มีอุปการคุณของบริษัท, นักลงทุนสถาบันและบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ในระหว่างวันที่ 28-29 มีนาคม และ 1-2 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ในราคาหุ้นละ 39 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 3,042 ล้านบาท พร้อมทั้งมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ 11,700 ล้านบาท ซึ่งมีบริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่าย รวมทั้งรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
ขณะที่ นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEO กล่าวว่ามุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชียที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภคด้วยองค์ความรู้ และประสบการณ์ที่สะสมมากว่า 30 ปี ผ่านกลยุทธ์ในการทำการตลาด และการวิจัยและพัฒนาทำให้ NEO สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่แบรนด์
ทั้งนี้การเข้าจดทะเบียนจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตในอนาคต โดย NEO มีแผนที่จะนำเงินระดมทุนส่วนใหญ่ไปขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน รวมถึงขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ หรือแม้แต่ระบบบริหารจัดการคลัง เพื่อรองรับแผนการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทมีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ กลุ่มครอบครัวนายสุทธิเดช ถือหุ้นรวม 65.30% บริษัท ฟินันซ่า ฟันด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ถือหุ้นรวม 6.30% โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบประมาณการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน, ฐานะทางการเงิน, แผนการขยายธุรกิจ และปัจจัยอื่นๆ ที่เห็นสมควร