นายกฯเรียก กต.-ผู้นำเหล่าทัพ หารือเกาะติดสถานการณ์เมียนมา

“เศรษฐา” เรียกกระทรวงการต่างประเทศ-ฝ่ายความมั่นคง หารือติดตามสถานการณ์เมียนมา ยันพร้อมให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 เม.ย. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศเมียนมา โดยมีพล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.), พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ, นายจักรพงษ์ แสงมณี รมช.ต่างประเทศ  นายฉัตรชัย บางชวด รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ร่วมหารือในเวลาต่อมา นายกรัฐมนตรี  โพสต์ข้อความผ่าน X ถึงการหารือสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมากับฝ่ายความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า สถานการณ์ในเมียนมา มีความสำคัญต่อไทยเป็นอย่างมาก การทำงานด้านนโยบายเมียนมา ก็เพื่อสันติภาพและเสถียรภาพของเมียนมา เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

ประเทศไทยพร้อมประสานและส่งเสริมความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในเมียนมาโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบ และพร้อมดูแลผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศไทยในด้านต่าง ๆ รวมถึงการค้าชายแดน  และเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะมีการตั้งคณะทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบหลัก โดยมีเลขาธิการสำนักงานความมั่นคงทำงานร่วมด้วย เพื่อสนับสนุนการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศทั้งประเด็นการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ

นายปานปรีย์  เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมว่า หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นทางการไทยได้เตรียมแผนรองรับเหตุการณ์เช่นนี้มานานแล้ว และสามารถรับผู้อพยพได้ประมาณ 1 แสนคนเข้ามาอยู่ในที่ปลอดภัยแบบชั่วคราว อย่างไรก็ดี หากมีผู้อพยพมากกว่า 1 แสนคน ขณะนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานงานกับต่างประเทศเพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือด้วย

ส่วนกรณีทางการเมียวดี ขอใช้สนามบินแม่สอดลงจอดเครื่องบินนั้น เรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบกับประเทศไทย เพราะไม่ใช่เป็นเครื่องบินทางทหาร แต่เป็นเครื่องบินพลเรือนของเมียนมา ซึ่งได้บินเข้าออกประเทศไทยตามปกติ ดังนั้นจึงไม่ใช่ประเด็นจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน ขณะที่กองทัพไทยก็มีความพร้อม หากกรณีที่มีการล่วงล้ำน่านฟ้าไทย ซึ่งจะต้องไม่เกิดเด็ดขาด

นายปานปรีย์ กล่าวเพิ่มเตินว่า ทางการไทยวางตัวเป็นกลางในเรื่องนี้ และอยากให้เกิดสันติสุขในประเทศเมียนมา ดังนั้นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อย เพราะประเทศไทยได้รับผลกระทบมาก ซึ่งได้มีการเริ่มไปบางส่วนแล้ว แต่วันนี้เมื่อมีการสู้รบกันมากขึ้น ก็จะต้องหาทางที่จะทำให้เกิดการเจรจาให้การสู้รบยุติลง และหันมาพูดคุยกันมากขึ้น

สำหรับสถานการณ์ตามแนวชายแดนขณะนี้ขอให้ประชาชนคนไทยมั่นใจว่ายังมีความสงบอยู่ จากรายงานยังไม่มีการสู้รบกัน และยังมีการค้าขายตามปกติ แต่ในปริมาณการค้าอาจลดลง ประชาชนอาจกังวลอยู่บ้าง ในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นในเรื่องนี้ เป็นเรื่องภายในของเมียนมา ซึ่งเห็นว่าไม่น่าจะเกิดอะไรที่รุนแรงมากขึ้นในพื้นที่เมืองเมียวดี เนื่องจากเมืองนี้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจโดยตรง ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีใครไปสร้างความรุนแรงจุดนี้  และตอนนี้กองทัพได้เพิ่มกำลังดูตามแนวชายแดนอยู่แล้ว และมีการดูแลอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงการค้าตามแนวชายแดน เรื่องนี้รัฐบาลมีความเป็นห่วง โดยเฉพาะล่าสุดการค้าขายตามแนวชายแดนอำเภอแม่สอดลดลงเป็นจำนวนมากจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการค้าระหว่างประเทศถึง 130,000 ล้านบาท แต่เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา การค้าระหว่างทั้งสองประเทศลดลง ชายแดนไทย-แม่สอด มีเพียง  1 แสนล้านบาทเท่านั้น  หายไปถึง 30%

อย่างไรก็ตาม นายปานปรีย์ ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการปิดชายแดน ยังเปิดทำการปกติ ข้าราชการตรวจคนเข้าเมืองกรมศุลกากรของเมียนมา ยังทำงานเป็นปกติ แต่อาจจะไม่ได้ใส่เครื่องแบบ และการค้าตามแนวชายแดนยังเข้าออกได้ตามปกติ แต่ปริมาณอาจจะลดลง ส่วนอนาคตหากการค้าขายเข้าไม่ได้ จะเปลี่ยนเส้นทางไปยังจังหวัดอื่น เช่น ชายแดนจังหวัดระนอง.

Back to top button