YGG ผนึก “CHAYO-ZIGA” เร่งพัฒนาแพลตฟอร์ AI “ปล่อยสินเชื่อ”-เปิดตัวเกมใหม่ Q3 นี้
YGG จับมือ CHAYO-ZIGA เซ็น “เอ็มโอยู” พัฒนาแพลตฟอร์ AI “ปล่อยสินเชื่อ” ชูกลยุทธ์ความรวดเร็วด้านการบริการ คาดสิ้นปี 67 ภาพชัดเจน พร้อมกางแผนเปิดตัวเกม “Nine Eyes” ไตรมาส 3/67 ลุ้นรายได้ปีแรก แตะ 700 ล้านบาท
นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อิ๊กดราซิล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ YGG เปิดเผยว่าได้ร่วมลงนามเซ็น (MOU) ร่วมกับพันธมิตร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO และ บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจด้านการปล่อยสินเชื่อ และบริการทางการเงินผ่านการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพทางธุรกิจและพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน ขณะที่มีระยะเวลาผูกพันคู่สัญญา 3 ปี นับตั้งแต่วันลงนาม
ทั้งนี้ การสร้างโปรดักส์ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ในการพัฒนาการปล่อยสินเชื่อนั้น เพื่อร่วมกันต่อยอดธุรกิจทั้ง CHAYO และ ZIGA ซึ่งเพิ่มโอกาสในการขยายและสร้างฐานข้อมูลลูกค้าใหม่ซึ่งกันและกัน รวมถึงรองรับธุรกรรมหรือธุรกิจทางการเงิน เนื่องจาก CHAYO มีแพลตฟอร์มเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว การพัฒนาแพลตฟอร์นี้จะช่วยเพิ่มฐานข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า พร้อมช่วยให้ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อได้รับสิทธิมากขึ้นหรือช่วยออกแบบลักษณะสินเชื่อให้ถูกกับความต้องการมากที่สุด รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการปล่อยสินเชื่อและการเก็บหนี้ไปในตัว ในขณะที่ ZIGA จะได้รับประโยชน์จาการการมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ผ่านการใช้แพลตฟอร์ที่สะดวก
ด้าน นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHAYO กล่าวเสริมว่า การร่วมมือทำแพลตฟอร์มในครั้งนี้ มีกลยุทธ์เรื่องความรวดเร็วในการบริการปล่อยสินเชื่อ ขณะที่บริษัทคาดการณ์ว่าจะมีรายได้เติบโตประมาณ 10-20% ภายในปี 2567 หากมีการวิเคราะห์และพัฒนาแพลตฟอร์มเสร็จสมบูรณ์ โดย CHAYO มีความแข็งแกร่งในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) ทั้งแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ณ สิ้นปี 2566 มีพอร์ตบริหารหนี้รวมทะลุ 100,000 ล้านบาท รวมทั้ง ให้บริการเจรจาติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้หรือให้บริการศูนย์ข้อมูลลูกค้ากับผู้ว่าจ้างผ่านทางระบบโทรศัพท์ และให้บริการคําปรึกษาด้านแรงงาน
โดยบริษัทมองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจผ่านการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI โดยเฉพาะข้อมูล Big Data เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ฐานข้อมูลในระบบ จึงมั่นใจว่าความร่วมมือจะสนับสนุนให้กลุ่มบริษัทสามารถให้บริการและส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินให้เหมาะสมกับลูกค้า รวมทั้งขยายพอร์ตให้เติบโตอย่างมั่นคง ภายใต้ความเสี่ยงที่รัดกุม
อนึ่ง บริษัทที่เป็นเรือธงในธุรกิจด้านการเงิน ของ CHAYO คือ บริษัท ชโย แคปปิตอล จํากัด (มหาชน) หรือ CCAP ซึ่งได้สิทธิประกอบธุรกิจสินเชื่อ 3 ประเภท คือ นาโนไฟแนนซ์ พิโกไฟแนนซ์ และสินเชื่อส่วนบุคคล ปัจจุบันดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อ โดย CCAP อยู่ระหว่างเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 125 ล้านหุ้น
ขณะที่ นายศุภกิจ งามจิตรเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ZIGA กล่าวว่า แพลตฟอร์มดังกล่าวจะช่วยให้บริษัท มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากลูกค้าสามารถตัดสินใจใช้บริการของ ZIGA ได้ง่าย พร้อมทั้งสร้างความแข็งแกร่งและมีการเติบโตอย่างยั่งยืนตอบโจทย์การให้บริการ โดยปัจจุบัน ZIGA มียอดขายสินค้ากว่า 1,000 ล้านบาท และฐานลูกค้าที่เป็น B2C ประมาณ 50,000 ราย ซึ่งการมีพันธมิตรในครั้งนี้จะทำให้ฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นเป็นหลักแสน อีกทั้งมีการตั้งเป้าหมายกลุ่มลูกค้าเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 15%
นายธนัช กล่าวทิ้งท้ายว่า การร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นแพลตฟอร์มของ YGG โดยเฉพาะแต่จะนำไปเชื่อมโยงกับบริษัทพันธมิตร โดยปัจจุบันบริษัทเริ่มศึกษาและพัฒนาไปบ้างแล้ว และคาดการณ์จะเห็นเป็นรูปร่างของแพลตฟอร์มในช่วงสิ้นปี 2567 ขณะที่ในอนาคตหากธุรกิจมีการเติบโต และมีแนวโน้มที่ต้องการเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจ กลุ่มพันธมิตรจะเริ่มพิจารณาบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก่อน เนื่องจากมีแนวทางการดำเนินงานที่คล้ายๆกัน พร้อมกับความโปรงใสที่ตรวจสอบได้ง่าย ซึ่งหากเป็นบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนนั้นต้องมีการตรวจสอบและศึกษาก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วม
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับภาพยนตร์ ซึ่งมีการอัพเดทความคืบหน้าเรื่อง “Home Sweet Home” ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 และคาดการณ์รายได้เปิดตัวอยู่ทีประมาณ 5-7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการพูดคุยเจรจากับผู้ซื้อฝั่งต่างประเทศ รวมทั้งกางแผนขายสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับภาพยนตร์
ส่วนเกม “Nine Eyes” นั้น YGG จะเปิดตัวในช่วงปลายไตรมาส 2-3 ปี 2567 เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบระบบเกมจากฝั่งอเมริกา ซึ่งคาดการณ์รายได้เฉพาะปีแรกที่เปิดตัวอยู่ที่ 700 ล้านบาท
“สุดท้ายนี้ มองว่าทิศทางการเติบโตของ YGG จะมีรายได้ใหม่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีการมีลงทุนในหลายส่วน ขณะที่มองว่าอาจจะมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดในบางกลุ่มธุรกิจ แต่บางกลุ่มธุรกิจก็ยังมองว่าสามารถเติบต่อไปได้เรื่อยๆ อีกทั้งบริษัทมีปัจจัยหนุนจากฐานลูกค้าประเทศจีนที่เพิ่มขึ้น” นายธนัช กล่าว