พาราสาวะถี

หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว หรือแค่ดึงบางพรรคเข้าร่วมเป็นอะไหล่เพื่อให้เสียงในสภามีเสถียรภาพ


หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ ตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียว หรือแค่ดึงบางพรรคเข้าร่วมเป็นอะไหล่เพื่อให้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรมีเสถียรภาพ การปรับครม.ที่มีข่าวโหมประโคมอย่างหนาหูในช่วงนี้ คงไม่ใช่เรื่องที่ต้องเงื้อง่าราคาแพง เช่นเดียวกับการจะดึงเก้าอี้ประธานสภาฯ กลับจาก วันมูหะมัดนอร์ มะทา ในโควตาของพรรคประชาชาติ จนเกิดแรงกระเพื่อมสร้างความไม่พอใจจากคนที่ตกเป็นเป้าหมาย ถึงกับบอกว่าเป็นสัญญาณที่ “รับไม่ได้”

ดังนั้น การที่ เศรษฐา ทวีสิน เรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหารือเมื่อวานนี้ เนื้อหาสาระสำคัญจึงอยู่ที่ การหารือเพื่อขอเสียงยืนยันใน 2 เรื่องสำคัญซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ในวันนี้ (23 เมษายน) หนึ่งคือ เป็นมติร่วมกันเห็นด้วยต่อการเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ก่อนที่ ครม.จะไฟเขียว รวมไปถึงเรื่องที่รัฐบาลจะทำประชามติถามประชาชนเห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเว้นหมวด 1 และ 2 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญตีตกประเด็นที่เพื่อไทยยื่นประธานรัฐสภาร้องขอให้ตีความอำนาจแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256

การประสานเสียงของบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลว่า นายกฯ ไม่ได้ส่งสัญญาณการปรับ ครม. จึงเป็นภาพสะท้อนว่า ข่าวที่ออกมาหากจะขยับต้องเป็นการปรับกันแค่ในส่วนของพรรคเพื่อไทย การไปแตะเก้าอี้ของพรรคร่วมที่ยกเว้นภูมิใจไทย ซึ่ง อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคยืนยันแล้วว่า 8 ตำแหน่งยังแข็งแรง และไม่มีการปรับเปลี่ยน จึงเป็นเรื่องที่ยังเจรจากันไม่ได้ ปิดจ๊อบกันไม่ลงตัว โดยเฉพาะกับสองเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยในสัดส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ

สัญญาที่ตกลงกันไว้ก่อนจะมีการโหวตหนุนเศรษฐามานั่งนายกฯ นั้น ถือเป็นคำมั่นที่หากจะฉีกทิ้ง ย่อมเกิดแรงกระเพื่อม ในจังหวะที่รัฐบาลกำลังจะเดินหน้านโยบายสำคัญจึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น โจทย์สำคัญของเศรษฐาจึงอยู่ที่การจัดสรรความลงตัวของรัฐมนตรีในส่วนของพรรคแกนนำรัฐบาลที่เป็นต้นสังกัดของตัวเองเท่านั้น โดยบางรายที่มีชื่อว่าจะหลุดเก้าอี้อย่าง เกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ดูแล้วยังจะได้ไปต่อ

ขณะที่ตัวเต็งสำคัญอย่าง สุทิน คลังแสง เห็นการเสนอแก้กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการกระทรวงกลาโหมที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหาร ประเด็นสำคัญอยู่ที่การแต่งตั้งนายทหารระดับนายพล ถือเป็นสัญญาณทิ้งทวนที่จะทำให้ผู้จะเข้ามารับไม้ต่อต้องคิดหนัก จะเรียกว่าเป็นเผือกร้อนที่ตกมาอยู่ในมือก็ว่าได้ เพราะนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวไปสู่การปฏิรูปกองทัพเพื่อให้เป็นทหารอาชีพ ย่อมมีเสียงหนุนจากประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ในส่วนของคนมีสี

การที่เศรษฐาจะเข้ามานั่งควบเอง แล้วกระเตงเอา พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ มาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ ก็ไม่น่าจะลดทอนกระแสเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามที่ได้มีการตั้งต้นไว้ นั่นย่อมทำให้ฝ่ายที่ต้องการจะล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้ง มีความหวังว่าความพยายามในลักษณะเช่นนี้ของพรรคเพื่อไทย จะกลายมาเป็นชนวนชั้นดีที่อาจจะนำไปสู่การรัฐประหาร เป็นการล้มกระดานพัฒนาการด้านประชาธิปไตยที่พวกอนุรักษนิยมสุดโต่งไม่ต้องการให้เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลักของการร้องขอขยับเก้าอี้รัฐมนตรีในสัดส่วนของเพื่อไทย ด้านหนึ่งเป็นความต้องการของเศรษฐาที่อยากจะได้มือดีมาช่วยทำงานขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจให้ขยับไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้รวดเร็วทันใจขึ้น เห็นได้จากการยอมถอนตัวจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเปิดทางให้คนที่มีความสามารถ และพร้อมทำงานแบบเต็มที่มาดูแลแทน เช่นเดียวกับการวางตัวคนของพรรคแกนนำมาคุมกระทรวงทั้งหมด เพื่อปลดล็อกการทำงานที่ไม่สอดประสานเป็นเนื้อเดียวกัน

ขณะที่การนำพาตัวเองไปควบว่าการกระทรวงกลาโหม ก็เพื่อป้องกันปัญหาความไม่พึงพอใจหากต้องแต่งตั้งพลเรือนรายอื่นไปดูแลแทน ครั้นจะเลือกเอาทหารด้วยกันเองย่อมเสี่ยงที่จะกลับไปสู่วังวนเดิมที่ฝ่ายการเมืองต้องการขจัดให้หมดไปคือ การแบ่งพรรคแบ่งพวก โดยตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าได้เกิดปัญหานานัปการ จนมีการย่อยสลายไปได้ระดับหนึ่งจากกระบวนการที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่จะทำให้หมดไปได้จริง ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนที่มาจากฝ่ายเป็นกลางอย่างแท้จริง โดยใช้ประชาชนเป็นหลังพิง 

ความชัดเจนในแง่ของรายชื่อนั้นในส่วนเพื่อไทยตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทุกอย่างจะได้ข้อยุติภายในวันที่ 24 เมษายนนี้ ติดอยู่ที่พรรคร่วมรัฐบาลอย่างรวมไทยสร้างชาติที่จนถึงขณะนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบในแง่ของการยื่นหมูยื่นแมว หากจะให้สองรัฐมนตรีช่วยอย่าง กฤษฎา จีนะวีจารณะ จากคลัง และ อนุชา นาคาศัย จากเกษตรและสหกรณ์ พ้นเก้าอี้ ต้องมีอะไรมาแลกเปลี่ยน หากจะเหลือแค่ตำแหน่งเดียวก็ต้องเป็นระดับว่าการหรือช่วยในกระทรวงเกรดเอ แล้วถ้าจะดัน สุชาติ ชมกลิ่น กลับมา ต้องถามบ้านใหญ่จากภาคตะวันออกที่อยู่ในชายคาเพื่อไทยด้วยว่าแฮปปี้กันหรือไม่

ส่วน 1 โควตาของพลังประชารัฐที่ ธรรมนัส พรหมเผ่า ยังยืนยันจะส่งชื่อ ไผ่ ลิกค์ ตามเดิมนั้น เศรษฐาคงไม่กล้าที่จะเสี่ยง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่พรรคสืบทอดอำนาจต้องเสนอชื่อ อรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทราแทน อยู่ที่ว่าจะไปนั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ตามเดิมหรือมาที่กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งนั่นหมายความว่าทางฝั่งรวมไทยสร้างชาติต้องยอมถอนคนของตัวเองออกไปก่อน เก้าอี้ในส่วนของเพื่อไทยที่ ไชยา พรหมา เป็นอยู่นั้นไม่มีทางปล่อยให้พรรคอื่น อยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนคนหรือไม่เท่านั้นเอง

เรื่องปรับ ครม.ก็ว่ากันไปครรลองของวิถีการเมือง ประเด็นร้อนที่กำลังเกิดขึ้นคือ “บิ๊กโจ๊ก” พลเอกตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล เข้าตาจนร้องเรียนความไม่เหมาะสมของกรรมการ ป.ป.ช.รายหนึ่ง พร้อมอ้างอดีตนายอย่างพี่ใหญ่แก๊ง 3 ป.ให้เป็นพยาน ตามมาด้วยการยื่นร้อง ป.ป.ช.เอาผิดเศรษฐาในความผิดตั้งแต่เรื่องแต่งตั้ง พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร. จนถึงการย้ายตัวเองเข้าทำเนียบฯ ก่อนส่งตัวกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เชือดออกจากราชการไว้ก่อน อาจได้ความสะใจร่วมจากสังคม แต่บทสรุปจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับที่กล่าวหามามีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ หรือแค่ให้ตัวเองไม่หลุดวงโคจรจากหน้าสื่อเท่านั้น

อรชุน

Back to top button