PTG ทุ่มงบ 2.5 พันลบ. ปั้น “ซับเวย์” 500 สาขา หวังกำไรปีละ 500 ล้าน!

PTG กางแผน 10 ปี ทุ่มงบ 2.5 พันล้านบาท ขยาย Subway จำนวน 500 สาขา หวังปั้นกำไรปีละ 500 ล้านบาท เสริมแกร่งธุรกิจ non-oil หวังก้าวสู่ Top 3 ผู้นำตลาดฟาสต์ฟู๊ดไทยปี 69


นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัท โกลัค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นผ่านบริษัทย่อยของ PTG ได้บรรลุข้อตกลงในการรับสิทธิ์ มาสเตอร์ แฟรนไชส์ ซับเวย์ “SUBWAY” ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเติบเต็มกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) หรือ “non-oil”

โดยร้านอาหาร SUBWAY มีแนวคิด Eat Fresh, Feel Good” คล้ายกับวิสัยทัศน์ PTG อย่าง “เชื่อมให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงชีวิตที่ “อยู่ดี มีสุข” ในทุกด้านของช่วงชีวิต” และแบรนด์ SUBWAY ถือเป็นที่รู้จักทั่วโลก ผนวก PTG มีฐานลูกค้าลูกค้าสมาชิกปั๊ก PT Max Card กว่า 21 ล้าน ซึ่งจะเป็นการต่อยอดประสิทธิภาพของระบบนิเวศ PTG (Max World Ecosystem) และสนับสนุนให้ธุรกิจ “non-oil” เติบโตอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ การลงทุนในครั้งนี้จะใช้ระยะเวลา 10 ปี ในการขยายร้าน SUBWAY จำนวน 500 สาขา ผ่านเงินลงทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท พร้อมวางแผนเปิด 50 สาขาในแต่ละปี รวมเงินลงทุนราว 500 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์รายได้แรกอยู่ที่ 10 ล้านบาทต่อหนึ่งสาขา และหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอาจมีการเปิดมากกว่าที่กล่าวไปขั้นต้น ทั้งนี้ จะใช้เงินก่อสร้างต่อสาขาอยู่ที่ 4-5 ล้านบาท (สำหรับสาขาที่มีพื้นที่ขนาด 50 ตารางเมตร) และสัดส่วนการลงทุนจะเป็นไปตามการถือหุ้น ซึ่ง PTG มีสัดส่วนอยู่ที่ 70% โกลัด อยู่ที่ 30%

โดย PTG มองเห็นถึงความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้นต่อ SUBWAY ในประเทศไทย ซึ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจของคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาทางเลือกด้านสุขภาพ สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างลงตัวที่สุด โดยเชื่อว่า Subway จะเข้ามาเติมเต็มธุรกิจ F&B ของบริษัทฯ และสามารถสร้างการเติบโตร่วมกันในประเทศไทยได้อย่างแน่นอน” นายพิทักษ์ กล่าว

ทั้งนี้ การดำเนินการเปิดสาขาต่างๆ นั้น บริษัท โกลัค จำกัด ได้เปิดบริษัทย่อยภายใต้การถือหุ้น 100% ชื่อ บริษัท โกซับเวย์ จำกัด ซึ่งมีหน้าที่ดำเนินงานเปิดสาขาในแต่ละปี และ “โกซับเวย์” จะต้องจ่ายค่าแฟรนไชส์ให้กับ “โกลัค” เท่านั้น

โดย นางสาวเพชรัตน์ อุทัยสาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลัค จำกัด กล่าวเสริมว่า การร่วมลงทุนในครั้งนี้เพื่อต่อยอดธุรกิจ non-oil ของ PTG ซึ่ง “โกลัค” จะประกอบธุรกิจด้านอาหารเป็นหลัก โดย SUBWAY ถือเป็นธุรกิจแรกของบริษัทและจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบร้านให้มีความผสมผสานวัฒนธรรมไทย ขณะที่ การเลือกเปิด SUBWAY ในครั้งนี้เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคมี Eat Fresh, Feel Good” และต้องการให้เข้าถึงอาหารอร่อยราคาจับต้องได้

ทั้งนี้ หากพูดถึงการเติบโตในตลาดฟาสต์ฟู๊ด “Quick Service Restaurant” หรือ QSR ในประเทศไทย จากการสำรวจพบสถิติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในปี 2565 มีจำนวน 43,500 สาขา ปี 2566 จำนวน 45,900 สาขา เพิ่มขึ้น 5.5% และปัจจุบันมีจำนวน 47,700 สาขา เพิ่มขึ้น 4% ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตภายในประเทศ อาทิ อย่างการฟื้นตัวของ GDP และจำนวนนักท่องเที่ยวที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 36 ล้านคน ในปี 67

โดยภายหลังจากก การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมการบริโภคอาหารของผู้คนเปลี่ยนไป โดยหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากยิ่งขึ้น สอดรับกับ SUBWAY ที่มีจุดเด่นด้านการให้ความสำคัญกับวัตถุดินผ่านการคัดเลือกมาอย่างดีสดใหม่ อาทิ ขนมปังนำเข้าจากต่างประเทศ รวมถึงมีให้เลือกมากถึง 5 ชนิด พร้อมเนื้อสัตว์หลากหลาย อาทิ ทูน่า ไก่ และเนื้อที่ไม่ผ่านกระบวนการปรุงแต่ง รวมทั้งตัวเลือกผัดและซอสอีกมากมาย นี่จึงถือเป็นโอกาสเหมาะสมในการขยายธุรกิจร้านอาหาร SUBWAY จากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว พร้อมกับการเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ชาวต่างชาติรู้จักดีเป็นอย่างดี

อีกทั้ง “โกลัค” มีแผนเปิดร้าน SUBWAY ในรูปแบบ “Drive Thru” ร้านแรกในปั๊มน้ำมัน PTG นครชัยศรี ช่วงไตรมาส 4/67 เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในปัจจุบัน และยังคงมุ่งเน้นทำเลที่สะดวกเข้าถึงง่าย ส่วนร้าน SUBWAY ร้านแรกจะเปิดในโรงพยาบาลประมาณเดือนมิถุนายน 2567 หลังบริษัทได้รับความคิดเห็นจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจึงถือเป็นโอกาสเหมาะสม

ส่วนที่เหลือมีการวางแผนเปิดสถานที่ต่างๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้า, คอมมูนิตี้มอลล์, ออฟฟิศ, สนามบิน, โรงพยาบาล และสถานที่ท่องเที่ยว พร้อมวางกลุ่มลูกค้าคนไทย, วัยรุ่น, คนทำงาน, กลุ่มครอบครัวและคนรักสุขภาพ

อนึ่ง “โกลัค” มีแผนการดำเนินงานที่เน้นเติบโตอย่างยั่งยืนและผ่านแนวคิด “Eat Fresh, Feel Good” ขณะที่ มีความมุ่งมั่นทำการตลาดให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกและรับรู้ไปในทิศทางเดียวกับแบรนด์ผ่านการ (Rebranding) และมุ่งการเพิ่มช่องทางในการสั่งสินค้าในมีความหลากหลาย อาทิ สั่งออนไลน์ หรือการ JV กับพันธมิตรในอนาคตเพื่อกระตุ้นยอดขาย อีกทั้งมีแผนเปิดร้านอาหารอื่นๆ เพิ่มเติมอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ ต้องการนำธุรกิจสู่ Top-3 ตลาดฟาสต์ฟู๊ดประเทศไทยภายในระยะเวลา 3 ปี (67-69) โดยปัจจุบันคาดการณ์ร้านอาหาร SUBWAY อยู่อันดับ 5-6 ของตลาดฟาสต์ฟู๊ด ซึ่งบริษัทจะวัดผลการดำเนินงานหลังจากนี้ผ่านการเติบโตของรายได้และจำนวนสาขา

“สุดท้ายนี้ ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีคุณภาพให้ สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างลงตัวที่สุด สอดคล้องกับ lifestyle ของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกช่วงวัย” นางสาวเพชรัตน์ กล่าว

Back to top button