‘ดาบสองคม’ สหรัฐแบน TikTok
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “นายโจ ไบเดน” ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ลงนามรับรองกฎหมายให้สหรัฐฯ แบน TikTok
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า “นายโจ ไบเดน” ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ลงนามรับรองกฎหมายให้สหรัฐฯ สามารถแบน TikTok แอปพลิเคชันวิดีโอสั้นยอดนิยมได้ หากบริษัทแม่ ByteDance ไม่ยอมขายกิจการให้บริษัทเอกชนของสหรัฐฯ โดยกฎหมายดังกล่าวให้เวลา ByteDance 9 เดือน เพื่อหาผู้ซื้อรายอื่น ไม่เช่นนั้นจะถูกแบนห้ามใช้งาน
สำหรับร่างกฏหมายแบน TikTok ดังกล่าว รวมอยู่ในร่างกฏหมาย 4 ฉบับที่ให้ความช่วยเหลือแก่อิสราเอล, ยูเครน และไต้หวันรวมมูลค่ากว่า 95,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการผ่านร่างกฎหมายแบน TikTok ครั้งนี้ ส่งผลให้ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ต้องขายกิจการให้บริษัทเอกชนสัญชาติอเมริกัน ภายใน 1 ปี โดย ByteDance จะมีเวลา 9 เดือนแรก ในการจัดการข้อตกลงการขายกิจการ
โดยผู้นำสหรัฐฯ อาจขยายเวลาออกไปอีก 3 เดือน หลังก่อนหน้านี้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ร่างกฎหมายให้ระยะเวลาแก่ ByteDance เพียง 6 เดือนเท่านั้น
การขยายเวลาดังกล่าว นับเป็นการส่งสัญญาณว่า TikTok ที่มีชาวอเมริกันใช้งานมากถึง 170 ล้านคนและส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ จะยังมีบทบาทช่วงการรณรงค์เลือกตั้งหาเสียง ก่อนเริ่มการเลือกตั้งประธานาธิบดีช่วงสิ้นปีนี้ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ หมายความว่าฝ่ายนิติบัญญัติและประธานาธิบดีโจ ไบเดน อาจไม่ต้องเผชิญกับแรงต่อต้านจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งในทันที
ทั้งนี้ หาก ByteDance ประสบความล้มเหลวในการขายกิจการ บริษัทจะต้องเผชิญกับการแบนเข้าถึงการใช้งานทั่วสหรัฐฯ รวมถึงถูกบล็อกบน App Store, Google Play และเว็บโฮสต์จากการเข้าถึง TikTok
Shou Zi Chew ซีอีโอของ TikTok ระบุว่า บริษัทคาดว่าจะเป็นฝ่ายชนะในการฟ้องร้องทางกฎหมายครั้งนี้ ภายหลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามร่างกฎหมายบังคับให้ ByteDance ขายกิจการ TikTok ภายในเวลา 9 เดือน ไม่อย่างนั้น TikTok จะถูกแบนในสหรัฐฯ
“ผู้ใช้งานทุกคนสบายใจได้ เราจะไม่ไปไหน ความจริงและรัฐธรรมนูญอยู่ฝ่ายเรา และเราคาดว่าจะได้รับชัยชนะอีกครั้ง”
ทั้งนี้ TikTok คือ แอปพลิเคชัน ที่เป็นการให้บริการเครือข่ายสังคมสัญชาติจีน เริ่มเปิดใช้เมื่อเดือนก.ย. 2559 โดยไบต์แดนซ์ (ByteDance) ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาวิดีโอสั้น ๆ ความยาวไม่เกิน 15 วินาที ได้รับการพัฒนาภายใน 200 วัน และภายในหนึ่งปีมีผู้ใช้ 100 ล้านคน มีการดูวิดีโอมากกว่า 1,000 ล้านวิดีโอทุกวัน
หลังจากนั้นเปิดตัวในตลาดต่างประเทศช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 หลังจากนั้นไม่นานช่วงปลายเดือนมกราคม 2561 TikTok กลายเป็นแอปพลิเคชันอันดับหนึ่ง จากการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันฟรีผ่านแอปสโตร์ต่าง ๆ ในประเทศไทยและต่างประเทศ
จากข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า TikTok ที่มียอดการใช้งานมากกว่า 1,092 ล้านบัญชีทั่วโลก และในเชิงทางการตลาด TikTok สามารถก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ยอดนิยมสำหรับนักการตลาดหรือแบรนด์ทั่วโลกที่มิอาจปฏิเสธได้
สำหรับ 10 อันดับประเทศที่มีคนใช้ TikTok มากสุด เริ่มจาก 1) สหรัฐ 168.92 ล้านบัญชี 2) อินโดนีเซีย 126.83 ล้านบัญชี 3) บราซิล 98.59 ล้านบัญชี 4) เม็กซิโก 74.15 ล้านบัญชี 5) เวียดนาม 67.72 ล้านบัญชี 6) รัสเซีย 58.59 ล้านบัญชี 7) ปากีสถาน 54.38 ล้านบัญชี 8) ฟิลิปปินส์ 49.09 ล้านบัญชี 9) ไทย 44.38 ล้านบัญชี 10) ตุรกี 37.73 ล้านบัญชี
จากกรณีสหรัฐฯ สั่งแบน TikTok อาจกลายเป็นดาบ 2 คมทางการเมือง ที่จะย้อนกลับมาเล่นงาน “โจ ไบเดน” ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ จนอาจเรียกว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” ก็เป็นได้….!!??