ORI แบ็กล็อกแน่น 4.6 หมื่นล้าน “ทริส” คงเรตติ้ง BBB+ ยาว 3 ปีซ้อน
ORI แบ็กล็อกแกร่ง 4.59 หมื่นล้าน ทยอยรับรู้ปี 67-70 “ทริสเรทติ้ง” ยังคงเชื่อมั่นให้อันดับเรตติ้งองค์กร BBB+ 3 ปีซ้อน แย้มกลุ่ม ORI พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 3.7 หมื่นล้าน หนุนรายได้เติบโตตามแผน
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ทริสเรทติ้ง (TRIS Rating) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ได้คงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ BBB+ แนวโน้ม Stable หรือ คงที่ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในอุตสาหกรรมพัฒนาที่อยู่อาศัย และมูลค่ายอดขายที่รอรับรู้เป็นรายได้จำนวนมากและส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจอื่นๆ
โดยยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยรวมยอดขายจากทั้งโครงการของบริษัทเองและโครงการร่วมทุนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 ในส่วนรายได้ของบริษัททรงตัวอยู่ในช่วง 14,000 -15,000 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2564-2566 เพิ่มขึ้นจาก 11,000 ล้านบาท ในปี 2563 รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยรวมรายได้ค่าบริหารงานโครงการ ยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัท โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของรายได้รวม กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นเป็น 5,300-6,000 ล้านบาทต่อปี ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจาก 4,100 ล้านบาทในปี 2563 โดย EBITDA Margin ของบริษัท ยังคงน่าพอใจโดยอยู่ที่ระดับเกินกว่า 35% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของทริสเรตติ้ง (TRIS Rating) คาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตจาก 14,500 ล้านบาท ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 16,000 หมื่นล้านบาทในปี 2569
ขณะที่ EBITDA จะมากกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงประมาณการ การเติบโตของรายได้และกำไร ได้รับแรงหนุนจากยอดขาย คอนโดมิเนียมที่รอส่งมอบจำนวนมากและสัดส่วนที่สูงขึ้นจากโครงการบ้านจัดสรร นอกจากนี้ มาตรการของรัฐบาลในการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนองจาก 2% และ 1% ตามลำดับ เป็น 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อหลัง น่าจะช่วยกระตุ้นยอดการโอนในปีนี้ได้ ณ สิ้นปี 2566 บริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอนอยู่ที่ 4.59 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วย ยอดขายโครงการของบริษัทเองมูลค่า 2.07 หมื่นล้านบาท และ ยอดขายจากโครงการร่วมทุนอีกมูลค่า 2.52 หมื่นล้านบาท
นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงปี 2565-2566 ทั้งสิ้นมูลค่า 86,900 ล้านบาท มีแบ็คล็อก ณ สิ้นปี 2566 ในระดับ 45,900 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นตัวช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่ในปี 2567 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง มูลค่าโครงการรวม 37,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 17,000 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 20,000 ล้านบาท
โดยจากปัจจัยทั้งหมดดังกล่าว ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่า รายได้ของบริษัทจะเติบโตสู่ระดับ 14,500-16,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2567-2569 โดยมีส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจอื่นๆ รายได้จากธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทรวมถึงรายได้จากการให้บริการภายใต้ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) และรายได้จากธุรกิจการให้เช่าและบริการภายใต้ บริษัท ออริจิ้น โฮเทล จำกัด (มหาชน) หรือ ออริจิ้น โฮเทล เพิ่มขึ้นจากน้อยกว่า 5% ของรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมดในปี 2564 เป็นเกือบ 13% ในปี 2566 ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของบริษัท (รวมโครงการร่วมทุน)
ประกอบด้วยโรงแรม 11 แห่ง มีห้องพักรวม 2,657 ห้อง และพื้นที่ค้าปลีก 2,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) นอกจากนี้ โครงการพัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่าภายใต้การร่วมทุน พื้นที่ให้เช่าประมาณ 37,000 ตร.ม. มีกำหนดแล้วเสร็จในปี 2567 ซึ่งต่อจากนี้ ออริจิ้น โฮเทล วางแผนที่จะพัฒนาโรงแรมอีก 5-6 แห่งในช่วงปี 2567-2568 ดังนั้น คาดว่ารายได้ค่าเช่าและบริการจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพณิชย์ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 500-600 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2567-2569 เมื่อเทียบกับ 468 ล้านบาทในปี2566
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนหลังของปี 2567 บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับการเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามเป้าที่ 37,000 ล้านบาท โดยเน้นการเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลศักยภาพในต่างจังหวัดมากขึ้น อาทิ ภูเก็ต พัทยา EEC และ ขอนแก่น เป็นต้น