ส่องหุ้นน้องใหม่ “ไอพีโอ” ตบเท้าเข้าตลาดฯ พ.ค.นี้! จับตา LTS คิวถัดไป?
เดือนพ.ค. จับตา LTS หุ้นน้องใหม่ IPO เตรียมรอคิวเข้าเทรดตลาด mai ในวันที่ 17 พ.ค.นี้ หลังจาก SPREME ประเดิมเทรดตลาด SET ไปเมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา
หุ้นน้องใหม่ IPO เข้าเทรดช่วงเดือนพฤษภาคมพบว่า มี 2 บริษัท โดยตัวแรกที่ผ่านพ้นเป็นไม่นาน คือ บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SPREME เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2567
ส่วนตัวที่สองคือ บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS ซึ่งเตรียมเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 เป็นตัวต่อไปนั้นเอง
สำหรับหุ้นน้องใหม่ LTS ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 55 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท/หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 26.62% ของทุนจดทะเบียนทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดสินค้าอุปโภคบริโภคในวันที่ 17 พฤษภาคม 2567
ด้านนายภัฏ ตรัสโฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LTS เปิดเผยว่า การระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และขยายโชว์รูม รวมทั้งโกดังสินค้า เพื่อขยายกิจการให้มีความแข็งแกร่งขึ้น รองรับการขายสินค้าแก่โครงการขนาดใหญ่ของบริษัทฯ ได้แก่ สวนสาธารณะอัจฉริยะ โครงการ smart pole, โครงการ smart city, และ โครงการ smart street light ทั้งนี้ ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้จากการการขายอุปกรณ์ส่องสว่างและอุปกรณ์เสริมสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ส่องสว่าง เช่น โคมไฟฟ้า ไฟสปอตไลท์ ไฟเพื่อการตกแต่ง แก่ลูกค้า 3 กลุ่มหลักคือ 1) ลูกค้าสถาปนิกหรือผู้รับเหมา 2) ลูกค้าโครงการรัฐบาล รัฐวิสาหกิจและเอกชนขนาดใหญ่ และ 3) ลูกค้าค้าส่งและค้าปลีก ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านทาง พนักงานขายและ ช่องทางออนไลน์
โดยมีบริษัท ออพท์เอเซีย แคปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท (FA) และ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะผู้ร่วมจัดจำหน่ายและประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์
ทั้งนี้ LTS ดำเนินธุรกิจด้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าและแสงสว่างมานานกว่า 14 ปี มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบริการแบบครบวงจร (One Stop Service) ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ขาย ติดตั้ง บริการหลังการขาย และออกแบบอุปกรณ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมล่าสุด ยังได้ขยายธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้และผลกำไรต่อลูกค้าของบริษัทฯอย่างยั่งยืน กับการลงทุนขยายธุรกิจทางด้าน IT Solution เพื่อต่อยอดจากธุรกิจเดิมอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทฯได้มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ พัฒนาระบบการจัดการระบบไฟและควบคุมอุปกรณ์ Internet of Things (IOT) ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญของบริษัทฯ ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีโครงการขนาดใหญ่เฉลี่ยปีละ 1-2 โครงการพัฒนาและต่อยอดใน ด้านความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ จากโครงการในอนาคตสำหรับ IT Solution ในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาและจำหน่ายชุดคำสั่งต่าง ๆ ให้แก่องค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัย ภาครัฐ และภาคเอกชน โดยมีการบริการแบบครบวงจร ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม ได้แก่
1) ด้าน Subscription เป็นการซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมมาเพื่อจัดจำหน่ายต่อเพื่อให้ลูกค้าสมัครใช้บริการในรูปแบบรายเดือนหรือรายปี
2) Software Development เป็นการพัฒนาโปรแกรมขึ้นมาจากทีมงานของบริษัทซึ่งจะมีทั้งการขายสิทธิ์โปรแกรมให้แก่ลูกค้าหรือการให้เช่าใช้โปรแกรม
3) General Service เป็นบริการให้คำแนะนำในการใช้โปรแกรมที่บริษัทให้บริการ รวมถึงการบริการอบรมพนักงานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศรวมอยู่ด้วย
ปัจจุบันในปี 2567 บริษัทมี Backlog รับรู้รายได้ประมาณร้อยละ 100 ของรายได้ในปี 2566 โดยคาดการณ์ว่าจะมาจากโครงการสวนสาธารณะอัจฉริยะซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องของบริษัท นอกจากนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40%ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท
อย่างไรก็ตามหุ้น SPREME ที่เข้ามาซื้อขายในวันแรก ราคาหุ้นเปิดซื้อขายที่ 3.42 บาท เพิ่มขึ้น 0.82 บาท หรือ 31.54% เทียบจากราคาไอพีโออยู่ที่ 2.60 บาท/หุ้น หลังจากนั้นราคาค่อยๆอ่อนตัวลงจนปิดต่ำราคา IPO อย่างไรก็ตามในส่วนของธุรกิจถือว่ายังคงมีความน่าสนใจ ด้วยโมเดลธุรกิจดำเนินธุรกิจออกแบบ ติดตั้ง และจัดจำหน่ายระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบเครือข่าย อย่างครบวงจร (SI : System Integrator) พร้อมทั้งให้บริการซ่อมแซม บำรุงรักษา และการให้เช่าอุปกรณ์ โดยเฉพาะ “ภาคการศึกษา”
ร่วมกบหน่วยงานรัฐบาลและผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือศูนย์บริหารต่างๆ ครอบคลุมเกือบทุกจังหวัดในไทย ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานและลูกค้าหลักที่เป็นหน่วยงานภาครัฐทางด้านการศึกษา ด้วยจุดเด่นการเป็นหุ้นพื้นฐานดี ฐานะการเงินแข็งแกร่ง และเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านการศึกษาไทย จะทำให้หุ้น SPREME ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนภายหลังการเข้าทำการซื้อขายใน SET ได้ในช่วงหลังจากนี้
ขณะที่ในปัจจุบันบริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (Backlog) ณ 31 ธันวาคม 2566 อยู่ที่กว่า 440 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปี 2567-2568 และใช้เงินจากการระดมทุนเพื่อเข้าประมูลงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ 4-5 โครงการ มูลค่าโครงการมากกว่าพันล้านบาท รวมถึงเดินหน้าลงทุนซื้อกิจการเพื่อต่อยอดธุรกิจเดิมของบริษัทฯ (M&A)โดยการจับมือพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ช่วยเสริมการเติบโตของบริษัทฯได้
ด้าน 3 บริษัทหลักทรัพย์ให้ข้อมูลผ่านบทวิเคราะห์ไว้ อย่างบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด เผยแพร่บทวิเคราะห์ถึง SPREME ประเมินมูลค่าหุ้นเหมาะสมของ SPREME ณ สิ้นปี 67 ได้เท่ากับ 5 บาท อิง PE ที่ 20.70 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจคล้ายกันที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเป็นการคำนวณ EPS จากประมาณการกำไรสุทธิในปี 67 เท่ากับ 180.08 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.24 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมินกำไรของ SPREMEในปี 2566 อยู่ที่ 156 ล้านบาท ในปี 2567 อยู่ที่ 208 ล้านบาท และในปี 2568 อยู่ที่ 218 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 30% ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่าบริษัทฯ จะเข้าประมูลงานขนาดใหญ่เพิ่มมากขึ้นจากปี2566 ซึ่งบริษัทฯ จะเน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นกูลุ่มราซการมากขึ้นโดยประเมินว่าจะมีการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567 ได้รวดเร็วและเพิ่มขึ้นกว่าปี 2566 หลักจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย ในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SPREMEราคาเป้าหมายปี 2567 อยู่ที่ 4.80 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2567 ของหุ้น SPREMEอยู่ที่ 3.93 บาทต่อหุ้น อิง PERที่ 15.5 เท่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม System Integrator(SI)ที่อิงภาครัฐ แต่รองรับด้วยการเติบโต 20% ในปี 2567 โดยจุดเด่นบริษัทฯอยู่ที่การฟื้นตัวของกาไรกลับเข้าสู่ระดับปกติก่อนเกิด COVID-19 ตามการลงทุนด้านการศึกษาของรัฐ และโอกาสต่อยอดธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิมผ่านการ M&A หลังเข้าตลาด