ขึ้นได้แค่นี้?
สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในยามที่ถูกเล่นด้วยเรื่องกำไรโต น่าจะไปได้ไกลกว่าที่เห็นในทุกวันนี้ เพราะเมื่อดูจากค่า PE อนาคตที่อยู่ในระดับ 14 เท่า
สถานการณ์ของตลาดหุ้นไทยในยามที่ถูกเล่นด้วยเรื่องกำไรโต น่าจะไปได้ไกลกว่าที่เราเห็นในทุกวันนี้ เพราะเมื่อดูจากค่า PE อนาคตที่อยู่ในระดับ 14 เท่า น่าจะเป็นการบอกให้รู้ว่า การลงทุนตรงบริเวณนี้มีความเสี่ยงต่ำ และมีอัพไซด์สูง แต่น่าเสียดายที่เรื่องจริงกลับกลายเป็นว่า ดัชนีทำได้ดีสุดคือการแกว่งตัวไปมาในกรอบ 1,350-1,400 จุดเป็นเวลานาน และที่น่าเบื่อสุดคือ การซอยเท้าอยู่กับที่ตรงบริเวณ 1.360-1,370 จุดน่ะซี
ถึงกระนั้นก็ต้องเข้าใจด้วยว่า การที่ดัชนีขึ้นไม่ได้สักทีมันเป็นผลมาจากต่างชาติไม่เล่น และกองทุนเกียร์ว่าง ขณะที่รายย่อยก็โดนโรบอทเล่นงานเป็นระยะ “โมนิก้า” ถึงมองว่า การยืนปิดที่ระดับ 1,369.92 จุด บวกไป 6.67 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.75 หมื่นล้านบาท น่าจะเป็นสถานการณ์ดีสุดในภาวะลงทุนผันผวน เพราะมองไปทางไหน ด้านไหน รัฐบาล “เสี่ยนิด” ก็มัวแต่งมโข่งไงล่ะคะ
โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ไฟแพง น้ำมันแพง แก๊สแพง ของแพง” ก็ยังแก้ไม่ได้สักที แต่อีตอนหาเสียงดันทำปากแจ๋ว พร้อมกับบอกทุกคนว่าแก้ได้ทันที จนทำให้สังคมเขาล้อเลียนกันอย่างสนุกสนานว่า “ตระบัดสัตย์” กันแบบนี้ “โมนิก้า” ถามจริง ๆ ว่า รู้สึกรู้สาอะไรกันบ้างไหม? และในเมื่อพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศมันไม่ได้ แล้วตลาดหุ้นไทยจะขึ้นอย่างบูรณาการได้อย่างไรล่ะจ๊ะ
ขนาดหุ้นอาหารแมวอย่าง ITC สามารถทำกำไรไตรมาส 1 โตเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ยังถูกขายทำกำไรเมื่อข่าวจริงปรากฏ และทำให้แนวต้านสำคัญทางจิตวิทยาบริเวณ 22 บาทกลายเป็นจุดขายเมื่อราคาหุ้นขึ้นมาถึงระดับนี้เป็นประจำแบบนี้ “โมนิก้า” พูดได้ทันทีว่า เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวพื้นฐานสักเท่าไหร่ แต่เป็นเรื่องของความเชื่อที่ต้องเล่นสั้นเป็นหลัก หุ้นถึงทรุดลงมาปิดที่ 21 บาท ลบไป 1.20 บาท หรือลงไป 5.41% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 489 ล้านบาทไงล่ะคะ
เช่นเดียวกับในรายของ XPG ก็มีประเด็นที่นักเล่นต้องคิดให้ออกว่า ธุรกิจตัวนี้ทำกำไรมหาศาลจริงไหม? และเป็นการทำกำไรอย่างยั่งยืนจริงไหม? รวมทั้งการยืนปิดที่ระดับ 1.17 บาท บวกไป 0.05 บาท หรือขึ้นไป 4.46% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 108 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 112 เท่าเป็นระดับที่น่าลงทุนเหรอ? เพราะสถานการณ์ของหุ้นที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันมีแต่มุดหัวลงลูกเดียวนะตัวเอง
ประเด็นดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงหุ้น SPREME เพื่อชี้ให้เห็นการรีบาวด์ขึ้นมาปิดที่ระดับ 2.40 บาท บวกไป 0.10 บาท หรือขึ้นไป 4.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 304 ล้านบาท ท่ามกลาง PE 10 เท่า มันเป็นระดับที่น่าสนใจจริง ๆ แต่เผอิญมีเสียงกระซิบข้างใบหูว่า ราคาหุ้นที่หลุดจองเกิดจาก “เสี่ยอ้วน” มือดูแลเกิดอาการใจมดขึ้นมากะทันหัน จึงปล่อยให้ราคาหุ้นร่วงเละเทะ พร้อมกับเม้าท์มอยถึงคนจัดจำหน่ายหุ้นว่า ทำไม “พี่.ว” ถึงชอบใช้บริการเสี่ยคนนี้!..อิอิอิ
เม้าท์ถึงเรื่องร้อนขึ้นมาทั้งที “โมนิก้า” ต้องเอ่ยถึงอย่างหนูซ่า NUSA ขึ้นมาอีกครั้ง เพราะประเด็นเรื่องการโยกย้ายสินทรัพย์ยังเป็นเรื่องที่สังคมขาเผือกอยากรู้ รวมทั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ถือหุ้นใหญ่จะทำให้ใครต้องเข้าซังเตบ้างหรือเปล่า? ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ความจริงกันต่อไป แต่ราคาหุ้นในกระดานดันเด้งมาปิดที่ 0.36 บาท บวกไป 0.07 บาท หรือขึ้นไป 24.14% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 98 ล้านบาท มันหมายความว่าไงค่ะ
ส่วนรายที่ร้อนแรงด้วยวอลุ่มแห้ง ๆ เพราะนักเล่นรู้แกวอาจถูกหลอกไปออกของราคาสูง จึงทำให้การขึ้นแรงแต่ละรอบของ 24CS มีประเด็นให้ขาเผือกสงสัยมากเหลือเกินว่า ระยะเวลาแค่ 10 วันราคาหุ้นขึ้น 100% มันเป็นไปได้อย่างไร? และอาการตื้อ ๆ ตัน ๆ ก่อนจะยืนปิดที่ระดับ 3.22 บาท ลบไป 0.06 บาท หรือลงไป 1.83% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 57 ล้านบาท โดยไม่รู้ว่า ไตรมาส 1 จะกลับมามีกำไรเยอะขนาดไหน?..มันน่าเล่นจริงเหรอจ๊ะ
ปิดท้ายกันที่หุ้น SABUY เพื่อชี้ให้เห็นสิ่งที่ค้างคาใจขาเผือกอยู่ที่การใส่เงินของผู้ถือหุ้นใหญ่คนใหม่อย่าง “ชัชวาลย์” จำนวนมากถึง 2.76 พันล้าน จะดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อไหร่? และคนซีพีคนนั้นจะดันดีลนี้จริงไหม? เพราะราคาหุ้นตอบรับข่าวดังกล่าวแค่ช่วงแรก ๆ ต่อจากนั้นก็หายต๋อมเข้ากลีบเมฆไปเลย พร้อมกับยืนซังกะตายที่ระดับ 2.28 บาท ลบไป 0.02 บาท หรือลงไป 0.87% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 125 ล้านบาทน่ะซี
โมนิก้า: และทีมงาน