พาราสาวะถี
ดูผิวเผินกรณีการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของ กฤษฎา จีนะวิจารณะ จะเป็นความไม่พอใจจากการแบ่งงานของ พิชัย ชุณหวชิร
ดูผิวเผินกรณีการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังของ กฤษฎา จีนะวิจารณะ จะเป็นความไม่พอใจจากการแบ่งงานของ พิชัย ชุณหวชิร เจ้ากระทรวงคนใหม่ ที่เฉือนเอางานในมืออันเกี่ยวข้องกับส่วนราชการทั้งหลายไปไว้ในมือของรัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการในสังกัดพรรคเพื่อไทยทั้งหมด เหลือเพียงสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะเพียงเท่านั้นที่ได้กำกับดูแล ไม่สมฐานะของความเป็นอดีตปลัดกระทรวงการคลังมาก่อนแม้แต่น้อย
เรื่องของศักดิ์ศรี หน้าตา น่าจะเป็นเพียงแค่เหตุผลประกอบเท่านั้น หากแต่แท้ที่จริงเมื่อพิจารณาจากท่าทีของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้ตกใจ หรือประหลาดใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น มิหนำซ้ำ ยังประกาศทันควันทั้งที่บอกไม่รู้เรื่องนี้จริงหรือไม่อย่างไรว่า ถ้าลาออกก็หาคนอื่นแทนแค่นั้น โดยเก้าอี้รัฐมนตรียังเป็นโควตาของพรรคอยู่ มันชวนให้คิดว่าน่าจะมีการพูดคุยกันมาแล้วระดับหนึ่ง ให้เกิดการเสียสละเพื่อผลักดันคนการเมืองที่เป็นที่ต้องการของพรรคให้ได้ไปทำหน้าที่ในกระทรวงอื่น
อย่าลืมว่า เวลานี้เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยคลังมีถึง 3 คน ทั้งว่าการและอีกสองคนจากเพื่อไทยกำลังจะลุยไฟว่าด้วยการเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต การให้กฤษฎาเลือกที่จะถอยด้วยเหตุผลไม่พอใจการแบ่งงาน เหมือนเป็นการทำให้เห็นว่าพรรคแกนนำมีการเล่นพรรคเล่นพวก ถือเป็นความชอบธรรม ขณะเดียวกัน ก็เป็นการชิ่งต่อความรับผิดชอบร่วมในภายภาคหน้าหากโครงการดังว่ามีปัญหาถูกร้อง ซึ่งก็ต้องดูต่อว่าคนที่จะมาแทนนั้นเป็นใคร
ในช่วงของกระแสข่าวการปรับ ครม.กำลังเข้มข้น ชื่อของ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ ซี้ปึ้กของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจมาแรงในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยกลาโหม โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้าคานอำนาจของรัฐมนตรีว่าการพลเรือนอย่าง สุทิน คลังแสง แต่ท้ายที่สุดก็หลุดโผไป การขยับรอบนี้เพื่อที่จะนำพาชื่อของบิ๊กเล็กไปสู่ฝั่งฝันหรือไม่ หรือเขย่าเพื่อจะให้นักเลือกตั้งในสายของอดีตเครือข่ายม็อบนกหวีดได้เข้าไปมีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร
ไม่ว่าจะเล่นเกมการเมืองในรูปแบบใดก็ตาม ภาพที่ปรากฎอาจสะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาฮันนีมูนระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลกับอดีตพรรคของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั้นได้หมดลงไปแล้ว เข้าสู่โหมดความเป็นจริงที่ว่า ทุกพรรคต้องเร่งสร้างผลงานเพื่อหวังผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ใช่เรื่องเร็วไปกับระยะเวลาที่เหลืออีกกว่า 3 ปี เพราะทางการเมืองไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยิ่งความเป็นรัฐบาลผสมอะไรก็เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
สารตั้งต้นที่ทำให้นักเลือกตั้งฝ่ายรัฐบาลเริ่มมองเห็นสถานการณ์ของความกินแหนงแคลงใจเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง เรื่องการไปเจรจากับกลุ่มก้อนต่าง ๆ รวมถึงรัฐบาลพลัดถิ่นเมียนมาของ ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่า เศรษฐา ทวีสิน หรือ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะชี้ไปในทิศทางเรื่องส่วนตัว แต่ด้วยฐานะผู้ยิ่งใหญ่ของพรรคแกนนำรัฐบาล ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่เป็นการกระทำโดยพลการ ข้ามหน้าข้ามตาหน่วยงานด้านความมั่นคงภายใต้กำกับดูแลของรัฐบาลหรือไม่
ล่าสุด ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมา ได้แถลงถึงกรณีดังกล่าวว่า “เราคิดว่าการสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ทำลายผลประโยชน์เมียนมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม” ไม่ว่าจะมองมุมไหนย่อมไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล ในทางตรงข้ามกลับจะเป็นการตอกย้ำประเด็นที่เศรษฐาและคณะอยู่ภายใต้การชักใยของอดีตนายกฯ ไปเสียฉิบ แรงกดดันและความอึดอัดที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่มีใครรับรองได้ว่าในระยะยาวมันจะระเบิดจนยากที่จะควบคุมได้หรือไม่
ไม่เพียงแต่ท่วงทำนองของทักษิณที่มีความเคลื่อนไหวถี่ขึ้นต่อเนื่อง จนถูกมองว่าจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับรัฐบาล กับจังหวะเคลื่อนของเศรษฐาที่ต้องการจะแสดงให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าอำนาจทั้งหมดอยู่กับตัวเอง อาจจะกลายเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งในรัฐบาลได้เร็วขึ้น การปรับ ครม.อาจไม่ใช่การตัดสินใจด้วยตัวเองเพียงลำพัง การแบ่งงานภายในกระทรวงก็โยนให้เป็นเรื่องของรัฐมนตรีว่าการ แต่การสั่งการในที่ประชุมแก้ปัญหายาเสพติดเมื่อวันพุธที่ผ่านมาเรื่องให้กัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดเหมือนเดิมถือเป็นประเด็นที่น่าจับตามอง
รู้ทั้งรู้ เรื่องกัญชาคือนโยบายเรือธงของพรรคภูมิใจไทย ที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศมาตั้งแต่สมัยนั่งว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะต้องผลักดันกฎหมายกัญชาที่พรรคผลักดันให้ใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และหวังผลเชิงพาณิชย์ ให้ได้รับการควบคุมเพื่อไม่ให้มีการใช้ผิดวัตถุประสงค์ให้ได้ เมื่อเศรษฐาสั่งการมาอย่างนี้ เท่ากับเป็นการตบหน้ากันฉาดใหญ่ ถึงขนาดที่ว่าลูกพรรคของเสี่ยหนูพากันนินทา ทำอะไรไม่ปรึกษา ไม่ให้เกียรติความเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่า คำประกาศของเสี่ยนิดในที่ประชุมดังกล่าวจะไม่ได้มีการปรึกษากับเสี่ยหนูมาก่อนแต่อย่างใด ฟังบทสัมภาษณ์ในวันถัดมาคือหลักฐานยืนยันได้ เมื่อเศรษฐาตอบที่นักข่าวตั้งคำถามได้พูดคุยกับอนุทินเรื่องนี้หรือยังว่า ตนเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีการคุยกันเรียบร้อยแล้ว ขณะที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยตอบแบบหยั่งท่าทีรอดูความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายว่า ตนไม่ได้บอกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ถ้าวันนี้มีข้อมูลใหม่มา กัญชาอันตรายเป็นยาเสพติดแน่นอน
กระนั้นก็ตาม มีประโยคที่ชวนให้คิดได้ว่า มีความไม่พอใจเกิดขึ้นต่อเรื่องนี้นั่นก็คือ การยืนยันของเสี่ยหนูที่ว่าการเดินหน้าเรื่องปลดกัญชาพ้นบัญชียาเสพติดตามนโยบายภูมิใจไทยนั้นมันพิสูจน์ได้ด้วย วิทยาศาสตร์ ไม่ใช้อารมณ์ใช้ความรู้สึก และนโยบายต่าง ๆ ต้องมีข้อมูลมาสนับสนุน ก่อนที่จะย้อนความหลังถึงรัฐบาลที่แล้วในการผลักดันกฎหมายว่า “ถูกหักหลัง” ไม่รู้เป็นการตีวัวกระทบคราดหรือไม่ รู้กันอยู่ที่อนุทินพูดถึงนั้นหมายถึงพรรคการเมืองใด และน่าจะเป็นพรรคที่พรรคแกนนำรัฐบาลเล็งที่จะดึงมาเสียบหากเกิดปัญหากับรวมไทยสร้างชาติหรือไม่
อรชุน