กองทุนตุนหุ้นหมื่นล้าน-ฟื้น LTF ได้เวลากลับตัวหุ้นไทย

สัญญาณการปรับตัวฟื้นจากจุดต่ำสุดของ SET INDEX ที่ระดับ 1,332 จุด ณ วันที่ 19 เม.ย. 2567 ที่ทำโลว์สุดในรอบ 4 ปี ผ่านมา 14 วันทำการ ที่ดัชนีค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นมา รวมแล้ว 39 จุด


สัญญาณการปรับตัวฟื้นจากจุดต่ำสุดของ SET INDEX ที่ระดับ 1,332 จุด ณ วันที่ 19 เม.ย. 2567 ที่ทำโลว์สุดในรอบ 4 ปี ผ่านมา 14 วันทำการ ที่ดัชนีค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นมา รวมแล้ว 39 จุด

แต่ยังไม่น่าสนใจเท่ากับ การเข้ามาทยอยสะสมหุ้นของ “กองทุนในประเทศ” อาจจะกล่าวได้ว่า กองทุนในประเทศ ถือเป็น “พระเอก” ที่พยุงหุ้นไทยไม่ให้ทำโลว์ คงไม่เป็นการกล่าวชมที่เกินเลยไปนัก

ยิ่งมาเห็นตัวเลขซื้อสุทธิของกองทุนในประเทศ แบบตลอดทางของ 14 วันทำการ ที่ดัชนีทยอยขึ้นมา ยิ่งน่าตกใจ เพราะยอด Net buy ของกลุ่มนี้กลุ่มเดียว สูงถึง +9,216 ล้านบาท

ในขณะที่ กลุ่มอื่น อย่างนักลงทุนต่างชาติ net sell จำนวน -4,412 ล้านบาท พอร์ตเทรดของโบรกเกอร์ net sell จำนวน -581 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยในประเทศ net sell จำนวน -4,222 ล้านบาท

การเป็น เดอะแบกคนเดียวของกลุ่มในรอบ ครึ่งเดือนที่ผ่านมา ของ “กองทุน” ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งที่เมื่อก่อนเคยเป็นหนึ่งในเสาหลักแห่งตลาดทุนไทย

นอกจากนี้ยังมี ข่าวดีเรื่อง “การปรับปรุง และเปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์การซื้อขาย” ที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ยกระดับเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุน จนมาถึงการประกาศจะนำ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กลับมาอีกครั้ง ของรมว.คลัง

เรื่องของ LTF ที่จะนำกลับมาใช้ในเชิงลึกยังมีอุปสรรค ที่เป็นรายละเอียดที่ทับซ้อนกับ กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่ยังไม่หมดอายุค้างอยู่ เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนใน SSF ยังมีอยู่มหาศาล และส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในต่างประเทศ รวมถึง ตราสารด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวกับหุ้นไทย

การจะเปลี่ยนแปลง SSF ให้เป็น LTF ไม่ใช่เรื่องง่าย และกลุ่มคนที่ลงทุนใน SSF ก็มีความแตกต่างจาก LTF อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นใหม่ ที่นิยมการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก

เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย ยังไม่ดีพอ และมีแนวโน้มที่ปรับตัวขึ้นช้า เมื่อเทียบกับ กำไรบจ.หุ้นในต่างประเทศ

ส่งผลทำให้คนรุ่นใหม่ต่อต้าน และไม่สนใจหุ้นไทย ชวนกันขนเงินออกไปเสี่ยงที่ต่างประเทศกันเป็นจำนวนมาก

โจทย์เรื่องความสามารถ หรือศักยภาพ ในการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทย คือ ต้นตอของปัญหาทั้งหมด ที่ทำให้คนไทย และต่างชาติเมินที่จะลงทุน ในทางกลับกันก็เทขายหุ้นไทยจนมีสภาพอย่างที่เห็น

การไปโทษ “กฎเกณฑ์ว่าหย่อนยาน” เพียงอย่างเดียว มันก็เหมือนต้องการจะ “หาแพะมาสังเวย” หรือ ต้องมีคนรับผิดชอบ ในยามที่นักลงทุนไทยขาดทุน อาจจะเป็นการมองที่ไม่รอบด้านเสียทีเดียว

กลับมาที่ LTF ก่อนที่จะมีการจัดตั้งกองทุน LTF ก่อนอื่นต้องไม่ต่ออายุ SSF ที่จะหมดอายุในปีนี้ (2563-2567) และยกเลิกการลดหย่อนภาษี สำหรับการลงทุนใน SSF

โดยใช้การลงทุนผ่านกองทุน LTF ให้สิทธิลดหย่อนภาษีแทน และตั้งเงื่อนไขเพดานการลดหย่อนใหม่จากเดิมได้สูงสุดไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี และไม่เกิน 5 แสนบาท ให้สูงขึ้นและจูงใจมากขึ้น

แม้รัฐจะสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีไปบ้าง แต่สามารถหารายได้จากทางอื่น ๆ อาทิ การเพิ่มภาษีการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ก็ถือเป็นหนทางที่น่าสนใจ เพียงแต่ว่า รัฐบาลจะกล้าทำไหม!?

เพราะทุกวันนี้ เอกชนไทย ค้าขายสู้กับคนจีน ที่ส่งสินค้ามาขายในไทยไม่ได้ การเพิ่มกำแพงความแข็งแกร่งให้การแข่งขันเอกชนไทย อีกทั้งยังมีเงินเข้ารัฐอีกมากมายมหาศาล ถือเป็นเรื่องดี

นอกจากนี้ เงื่อนไขของ LTF ควรที่จะต้องจำกัดสิทธิการลงทุนเฉพาะหุ้นไทยเท่านั้น ส่วนต่างประเทศ และตราสารอื่น ๆ ก็สามารถอนุโลมให้ลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เพื่อจะได้ให้ LTF กลับมาสร้างเสถียรภาพให้ตลาดหุ้นไทยอย่างแท้จริง หลังจากที่ห่างหายไปนาน

สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่ได้มีการลงมือทำไปแล้วอย่างในส่วนของ กองทุนทยอยสะสมหุ้นเข้าพอร์ต กับมาตรการควบคุมการซื้อขาย นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงผู้ที่ใช้โปรแกรมเทรด และการดึงกองทุน LTF กลับมาใช้งานอีกครั้ง

ทั้งหมดนี้ น่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง

อึ้งย้ง

Back to top button