ราคาทองคำปิดพุ่งกว่า 17 ดอลล์ นักลงทุนแห่ซื้อหลังตลาดหุ้นร่วง
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 ม.ค.) เนื่องจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐและการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงนั้น มาจากราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งลงสู่ระดับต่ำกว่า 30 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 17.1 ดอลลาร์ หรือ 1.59% ปิด (15 ม.ค.) ที่ 1,090.70 ดอลลาร์/ออนซ์, สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 14.8 เซนต์ หรือ 1.08% ปิดที่ 13.896 ดอลลาร์/ออนซ์, สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 7.3 ดอลลาร์ หรือ 0.87% ปิดที่ 827.50 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค.ร่วงลง 4.20 ดอลลาร์ หรือ 0.9% ปิดที่ 487.05 ดอลลาร์/ออนซ์
นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงไปกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงไปต่ำกว่าระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า วิกฤตราคาน้ำมันอาจจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลังงาน
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลงนั้น มาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงเกินไป หลังจากมีรายงานว่าอิหร่านเตรียมส่งออกน้ำมัน รวมทั้งความเป็นไปได้ที่ว่าชาติมหาอำนาจอาจยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านโดยสิ้นเชิงภายในอีกไม่กี่วันนี้
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและจีน ยังได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าถือครองทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า ยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนในเดือนธ.ค.อยู่ที่ระดับ 5.978 แสนล้านหยวน (9.07 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งลดลงจาก 7.089 แสนล้านหยวนในเดือนพ.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจในในฝั่งสหรัฐนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกลดลง 0.1% ในเดือนธ.ค.2015 ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ สู่ระดับ 4.481 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เปิดเผยว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลง 0.4% ในเดือนธ.ค. โดยร่วงลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 0.2% สำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลงจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ดิ่งลง และสภาพอากาศที่อบอุ่นกว่าปกติ ซึ่งฉุดการผลิตในภาคสาธารณูปโภคและภาคเหมืองแร่ของสหรัฐ