โบรกเชียร์ “ซื้อ” ADVANC เป้า 257 บ. รับแผนดัน ARPU เพิ่ม-มาร์จิ้นธุรกิจมือถือขยายตัว
บล.เมย์แบงก์ แนะนำ “ซื้อ” ADVANC ราคาเป้าหมาย 257 บาท หลังผลงานไตรมาส 1 โตแกร่งเกินคาด พ่วงแผนสร้างการเติบโต ARPU 3 ปีข้างหน้า รับมาร์จิ้นธุรกิจโทรศัพท์มือถือขยายตัว
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์หลังจากการประชุม Thai Telcos Day กับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ว่าบริษัทมีผลประกอบการในไตรมาสแรกที่สูงกว่าที่ฝ่ายบริหารคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยอัตราการเติบโตของรายได้ในไตรมาส 1/2567 เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่คาดการณ์เติบโตไว้ที่ 13-15% ส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย หรือ EDITDA ปรับตัวสูงขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 14-16%
ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารระบุว่า มีแผนที่จะเพิ่มการเติบโตของยอดรายได้เฉลี่ยผู้ใช้ (ARPU) ผ่านกลยุทธ์ Cross-selling และ Upselling ในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ (2567-2569) โดยบริษัทเชื่อว่ามาร์จิ้นของธุรกิจโทรศัพท์มือถือยังสามารถขยายตัวได้อีก แม้ว่ามาตรการช่วยเรื่องภาษีจากภาครัฐจะหมดไปแล้วก็ตามในเดือนก.พ. ที่ผ่านมา
ขณะที่บริษัทยังไม่มีแผนที่จะลดอินเตอร์เน็ตของแพคเกจเติมเงิน เนื่องจากยังเห็นรายได้ที่เข้ามาอยู่ โดยแพคเกจที่มีการใช้งานมากที่สุดอย่างแพคเกจ 4mps (150 บาท/30วัน) ก็ยังเห็นลูกค้าที่ใช้งานเติมเงินเพื่อซื้ออินเตอร์เน็ตเพิ่มหลังจากใช้หมดไปแล้วก่อนวันเริ่มแพคเกจรอบใหม่
อย่างไรก็ตาม ADVANC จะให้ความสำคัญกับการประมูลคลื่น 2100MHz รวมถึงยังมองคลื่นความถี่อื่นๆ ด้วยเช่นกัน อาทิ คลื่น2300MHz และ 850MHz เป็นต้น ขณะที่ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญของบริษัท มีดังต่อไปนี้ 1.บริการด้านดาต้า 2.ระบบคลาวด์ และดาต้าเซ็นเตอร์ 3.5G private network ที่จะใช้เฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตและเกษตร
ส่วนกรณีที่ยังไม่แน่ชัดว่า นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ADVANC จะหมดวาระการเป็นผู้บริหารลงในเดือนก.ค.นี้ จะดำรงตำแหน่งต่อหรือไม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีบุคลากรที่มีความสามารถสูงที่สามารถดำรงตำแหน่งแทนได้
นอกจากนี้ ADVANC อยู่ระหว่างการพูดคุยกับธนาคารเพื่อขอให้ลดหย่อนอัตราดอกเบี้ยของหนี้ 3BBIF เพื่อที่กองทุนจะสามารถจ่ายปันผลที่มากขึ้นให้กับ ADVANC ได้ ส่วนค่าใช้จ่ายลงทุนรวมงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม หรือ CAPEX สำหรับธุรกิจเครือข่ายคาดการณ์ว่าจะคงที่อยู่ราว 2.40-2.60 หมื่นล้านบาทต่อปี ในสามปีข้างหน้านี้ (2567-2569) ทั้งนี้ฝ่ายนักวิเคราะห์ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 257 บาท