STGT บวกต่อ 1% ขานรับ “ถุงมือยาง” ครองแชมป์ส่งออก GSP ไปสหรัฐโต 30%
STGT บวกต่อ 1% ขานรับ “กระทรวงพาณิชย์” เปิดสถิติการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า สำหรับการส่งออก ภายใต้สิทธิ “GSP” เดือนม.ค.-ก.พ. 67 “ถุงมือยาง” ครองอันดับ 1 มูลค่าการส่งออก 22.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตต่อเนื่อง 30%.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (29 พ.ค. 67) ราคาหุ้น บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ปิดตลาดช่วงภาคเช้าอยู่ที่ระดับ 11.70 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.86% สูงสุดที่ระดับ 12.10 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 11.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 447.45 ล้านบาท
โดยราคาหุ้น STGT ค่อยๆปรับตัวขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย. 67 ที่ปิดอยู่ที่ 8.15 บาท จนมาถึงล่าสุดวันนี้มาอยู่ที่ 11.70 บาท เท่ากับว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้ว 43% สอดรับกับข่าวกรณีที่ นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สถิติการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออก ภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปี 2567 ที่มีมูลค่าการใช้สิทธิรวม 480.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ 56.92% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของสินค้าที่ได้รับสิทธิ โดยประเทศปลายทางที่ไทยมีการส่งออกไปโดยใช้สิทธิ GSP มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งคือ สหรัฐ โดยมีมูลค่าการใช้สิทธิอยู่ที่ 444.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ 62.17% ของสินค้าที่ได้รับสิทธิ
ทั้งนี้ สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐภายใต้สิทธิ GSP 5 อันดับแรก คือ ถุงมือยาง, อาหารปรุงแต่ง, พลาสติกปูพื้นทำด้วยโพลิเมอร์ของไวนิลคลอไรด์, หีบเดินทางขนาดใหญ่หรือกระเป๋าใส่เสื้อผ้า และกรดมะนาวหรือกรดซิทริก
อนึ่ง สินค้าถุงมือยางเป็นสินค้าที่ไทยใช้สิทธิ GSP เพื่อส่งออกไปยังสหรัฐในอันดับต้นๆ มาโดยตลอด และจากการติดตามสถิติพบว่ามูลค่าการส่งออกที่ใช้สิทธิเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ถุงมือยางได้ขยับขึ้นมาเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง ภายใต้ GSP โดยมีมูลค่าการส่งออกที่ใช้สิทธิ GSP 22.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 30% ซึ่งไทยถือเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าถุงมือยางที่สำคัญของสหรัฐ
โดยในปี 2566 สหรัฐนำเข้าถุงมือยางจากทั่วโลกมูลค่าประมาณ 590 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ถุงมือยางของไทยมีมูลค่าการนำเข้าอยู่ในอันดับที่สองที่ 32.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รองจากมาเลเซีย 44.57 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, จีน 9.27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อินโดนีเซีย 5.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และศรีลังกา 4.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ
นายรณรงค์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันไทยได้รับสิทธิ GSP จาก 4 ประเทศ หรือกลุ่มประเทศ นอกจากสหรัฐแล้ว ผู้ส่งออกไทยสามารถใช้สิทธิ GSP เพื่อส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์, นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ซึ่งประกอบด้วย ยูเครน, อาเซอร์ไบจาน, ทาจิกิสถาน, มอลโดวา, อุซเบกิสถาน, จอร์เจีย และเติร์กเมนิสถาน อีกด้วย สำหรับโครงการ GSP ของสวิตเซอร์แลนด์ ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปี 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิเป็นอันดับสอง อยู่ที่ 32.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับสาม โครงการ GSP ของนอร์เวย์ มูลค่า 2.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อันดับสุดท้ายเป็นโครงการ GSP ของกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) มูลค่า 0.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิสูง อาทิ เพชรพลอยรูปพรรณ (สวิตเซอร์แลนด์) สูทของสตรี หรือเด็กหญิงทำด้วยขนแกะ (นอร์เวย์) และสับปะรดกระป๋อง (CIS) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กรมการค้าต่างประเทศเชิญชวนให้ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกไทยใช้สิทธิพิเศษ GSP เหล่านี้ เพราะจะทำให้มีแต้มต่อทางการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการ GSP ของสหรัฐ ที่หากใช้สิทธิ GSP สินค้าจะได้รับยกเว้นภาษีนำเข้าตลาดสหรัฐ ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคากับสินค้านำเข้าจากประเทศอื่นๆ มากขึ้น
นอกจากนี้ ไทยยังอยู่ระหว่างการเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือ EFTA (ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือสวิตเซอร์แลนด์, นอร์เวย์, ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์) ที่จะมาทดแทนโครงการ GSP ของสวิตเซอร์แลนด์และนอร์เวย์ ซึ่งจะถือเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกของไทย ที่จะได้รับสิทธิในการลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าได้อย่างถาวร แตกต่างจากโครงการสิทธิพิเศษ GSP ที่เป็นการให้สิทธิพิเศษฝ่ายเดียว ประเทศผู้ให้สิทธิจึงสามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการให้สิทธิได้ตามนโยบายของแต่ละประเทศ
ทั้งนี้จากปัจจัยข้างต้น คาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นที่ผลิตถุงมือยาง อย่าง STGT ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตถุงมือยางที่ใช้ในทางการแพทย์ และทางอุตสาหกรรมรายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีโรงงานตั้งอยู่ในประเทศไทยซึ่งเป็นพื้นที่ ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์หลักในการผลิดน้ำยางข้นที่มีคุณกาพระดับโลก โดย STGT ผลิตและจำหน่ายถุงมือยางคุณกาพสูง สำหรับการใช้งานในทางการแพทย์และอุดสาหกรรมอื่นๆ ได้แก่ ถุงมือยางธรรมชาติชนิดมีแป้ง, ถุงมือยางธรรมชาดิซนิดไม่มีแป้ง และถุงมือยางสังเดราะห์ ซึ่งจำหน่ายกว่า 175 ประเทศทั่วโลก
สำหรับในไตรมาส 1/67 ทาง STGT มีปริมาณการขายอยู่ที่ 10,091 ล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 38.50 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นมาจากถุงมือยางทุกประเภท โดยการเติบโตในปริมาณการขายดังกล่าวเป็นผลจากการความต้องการถุงมือยางทั่วโลกมีการฟื้นตัวในอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่เป็นภาวะปกติมากยิ่งขึ้น โดย STGT มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 49,500 ล้านชิ้นต่อปี