คณะลูกขุนชี้ “ทรัมป์” ผิดอาญา “ปลอมเอกสาร” จ่ายเงินปิดปาก “ดารา AV”
คณะลูกขุน 12 คนในนิวยอร์กตัดสินว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำผิดในคดีจ่ายเงินลับเพื่อปิดปาก “สตอร์มี แดเนียลส์” ดาราหนังผู้ใหญ่ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา คณะลูกขุน 12 คนในนิวยอร์กตัดสินด้วยข้อสรุปที่เป็นเอกฉันท์ว่า อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทำผิดทุกข้อกล่าวหา ในคดีจ่ายเงินลับเพื่อปิดปาก สตอร์มี แดเนียลส์ ดาราหนังผู้ใหญ่ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่เขาชนะการเลือกตั้งในปี 59
โดยอัยการประสบความสำเร็จในการดำเนินคดีโดยกล่าวหาว่า การปกปิดเงินและการจ่ายเงินอย่างผิดกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมในวงกว้าง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ลงคะแนนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของ ทรัมป์ แม้ว่าทนายจำเลยจะแย้งว่าการพยายามโน้มน้าวการเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย และอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม
ทั้งนี้ การพิจารณาคดีอาญาครั้งแรกของทรัมป์ วัย 77 ปี จบลงด้วยการที่เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดทั้ง 34 กระทง เกี่ยวกับการปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจเพื่อหลบซ่อนการจ่ายเงินที่มีจุดประสงค์เพื่อปิดปากแดเนียลส์ แต่ทรัมป์ได้รับการปล่อยตัวโดยไม่ต้องมีการวางเงินประกัน และเชื่อว่าเขาจะทำการยื่นอุทธรณ์ต่อไป
ขณะที่ทรัมป์ได้ประกาศกับผู้สื่อข่าวในเวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อมา โดยระบุว่าผลของการพิจารณาคดีดังกล่าวเป็นเรื่องน่าอับอายและเป็นเรื่องฉ้อโกง ทั้งยังประกาศด้วยว่าคำตัดสินที่แท้จริงจะมาจากการลงคะแนนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.นี้
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทรัมป์กลายเป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ถูกพิพากษาว่าทำผิดในคดีอาญา แต่มันไม่ได้ขัดขวางเขาจากการดำรงตำแหน่งในทำเนียบขาวอีกครั้ง แม้ว่าผู้พิพากษา ฮวน เมอร์ชาน จะตัดสินจำคุกเขาก็ตาม
อย่างไรก็ดี คำพิพากษาดังกล่าวได้ผลักดันให้สหรัฐฯ เข้าสู่พื้นที่ทางการเมืองที่ไม่มีใครคุ้นเคย และยังมีขึ้นก่อนการประชุมใหญ่แห่งชาติของพรรครีพับลิกันในเมืองมิลวอกี รัฐวิสคอนซิน ในวันที่ 11 ก.ค. ซึ่งทรัมป์มีกำหนดจะได้รับเสนอชื่ออย่างเป็นทางการจากพรรค เพื่อลงชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปีนี้ แข่งกับโจ ไบเดน ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตคนปัจจุบัน
ด้านทีมรณรงค์หาเสียงของไบเดนออกแถลงการณ์ว่า การพิจารณาคดีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย พร้อมกับเสริมว่าภัยคุกคามจากทรัมป์ที่มีต่อประชาธิปไตยของสหรัฐไม่เคยยิ่งใหญ่เท่านี้มาก่อน