แพนิก BTS เพิ่มทุนกดหุ้นรูด 12% พบขอแมนเดทผู้ถือหุ้นทุกปี แต่ไม่เคยใช้จริง
จับตาแพนิกเกินเหตุหรือไม่? นักลงทุนถล่มขายหุ้น “บีทีเอส“ ปิดเช้าร่วงหนัก 12% หลังกังวลผลประกอบการพ่วงประเด็น ”เพิ่มทุน“ 650 ล้านหุ้น ข้อมูลย้อนหลังชี้ชัดบริษัทขอ General Mandate ทุกปีแต่ไม่เคยใช้จริง ล่าสุดแจ้งลดทุน 1,000 ล้านหุ้น จากแมนเดทปี 66 ซึ่งไม่มีการเพิ่มทุนเกิดขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้เกิดกระแสว่ารอบนี้ขายหุ้น PP ต่ำราคากระดาน พบข้อเท็จจริงเป็นการเข้าใจผิดว่า ”ราคาพาร์“ 4 บาทคือราคาเพิ่มทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (31 พ.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ปิดตลาดภาคเช้าที่ระดับ 5.15 บาท ลบ 0.70 บาท หรือ 11.97% สูงสุดที่ระดับ 5.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 5.05 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.21 พันล้านบาท
โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้น BTS ปรับตัวลดลงอย่างหนักในช่วงเช้าของวันนี้ เนื่องมาจากความกังวลของนักลงทุน หลัง BTS รายงานผลประกอบการงวดปี 67 ออกมาพลิกขาดทุน 5.24 พันล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 1.83 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการบันทึกขาดทุนจาก บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX รวมถึงต้นทุนการสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบงบการเงินของ BTS พบว่า บริษัทบันทึกขาดทุนจาก KEX ในไตรมาส 3/67 เป็นจำนวน 4.56 พันล้านบาท ซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และผลประกอบการของ BTS ไตรมาส 4/67 ยังฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนี้ ยังมีการรายงานข่าวที่คาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง ว่า BTS จะเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ในราคาต่ำกว่ากระดานปัจจุบันที่ 4 บาท
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวพบว่า BTS ได้มีมติขออนุมัติเพิ่มทุนแบบ General Mandate จำนวน ไม่เกิน 2.60 พันล้านบาท (หรือประมาณ 4.94% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ) โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท เพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ในราคา 5.36 บาทต่อหุ้น โดยมีส่วนลด 10% ของราคาถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นของบริษัทฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ย้อนหลัง 7 วันทำการ ซึ่งเท่ากับ 5.95 บาท
ดังนั้น ประเด็นดังกล่าวจึงมีความคาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากราคาขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้อยู่ที่ 5.95 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาซื้อขายบนกระดานล่าสุด อีกทั้งการเพิ่มทุนดังกล่าวถือว่าน้อยกว่าปีก่อน จึงถือว่าไม่มีนัยยะสำคัญแต่อย่างใด
ส่วนประเด็นการขอมติลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 4 พันล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 7.35 หมื่นล้านบาท เป็นจำนวน 6.95 หมื่นล้านบาท โดยการตัดหุ้นจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายของบริษัทฯ จำนวน 1 พันล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท เป็นผลมาจากในปี 66 บริษัทได้ขออนุมัติเพิ่มทุน 1 พันล้านหุ้น แต่ยังไม่ได้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว จึงทำให้หมดระยะเวลาในการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว