EPG กางแผนปี 68 ทุ่มงบ 466 ล้านบาท พัฒนาสินค้า-ไลน์ผลิต ปั้นยอดขายโต 10%

EPG ทุ่มงบปี 68 แตะ 466 ล้านบาท มุ่งสร้างการเติบโตกลุ่มธุรกิจหลัก พัฒนาผลิตภัณฑ์และปรับปรุงไลน์การผลิต หวังยอดขายเติบโต 8-10%


รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 67–68 เติบโตที่ 3.20% จากการฟื้นตัวทั่วโลกเป็นไปอย่างช้าๆ แต่มีเสถียรภาพและแตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค

ขณะที่คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่มีแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น รวมถึงผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นความท้าทายต่อการดำเนินธุรกิจในตลาดโลกของ EPG โดยในปีบัญชี 67/68 (เม.ย.67 – มี.ค.68) บริษัทมุ่งเน้นการดำเนินงาน ดังนี้

1.สร้างการเติบโตแบบ (Organic Growth) ด้วยสินค้าประเภทเดิมและสินค้านวัตกรรมที่ออกใหม่ของทุกกลุ่มธุรกิจทำให้บริษัทสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุม สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ 2.มุ่งมั่นทำการวิจัยและพัฒนาสร้างสรรค์สินค้านวัตกรรมสร้าง New S-Curve เพื่อสนับสนุนธุรกิจหลัก และเพื่อสร้างกลุ่มธุรกิจใหม่ในอนาคต 3.ร่วมวางแผนและปรับปรุงการดำเนินงานของธุรกิจร่วมทุนในแอฟริกาใต้ และ 4.ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ทั้งนี้ ในปีบัญชี 66/67 EPG ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 8-10% ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดการณ์เติบโตที่ 30-33% มาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน-เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex ซึ่งตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 6-8% มาจากสินค้าฉนวนกันความร้อน-เย็นเกรดพรีเมี่ยมที่มุ่งเน้นทำการตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น

ส่วนสินค้าเพื่อใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรม Ultra Low Temperature Insulation และระบบ Air Ducting system เน้นทำการตลาดมากขึ้นทั้งในประเทศและสหรัฐอเมริกา สำหรับกลุ่มลูกค้าโครงการในประเทศนั้นแบรนด์ Aeroflex ยังได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมาตั้งที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และในสหรัฐอเมริกากลุ่มลูกค้าโครงการที่สำคัญ คือ กลุ่ม Semi-Conductor/ Cloud และยานยนต์ เป็นต้น

ขณะที่ฉนวนจากแบรนด์ Aeroflex มีความตอบโจทย์สำหรับช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงได้การรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและผลิตภัณฑ์ โดยเป็นบริษัทต้นแบบของกลุ่มธุรกิจ EPG ที่สามารถตั้งเป้าหมายมุ่งสู่ Net Zero Emission ในปี 2585 และมีแผนงานรองรับอย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 10-12% มาจากการพัฒนาสินค้านวัตกรรมร่วมกับลูกค้ากลุ่ม OEM ค่ายยานยนต์ของยุโรป เอเชีย และสหรัฐอเมริกา ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากโพลีเมอร์และพลาสติกเพื่อให้มีน้ำหนักเบา มีความทนทานสามารถใช้ทดแทนวัสดุประเภทโลหะได้อย่างสมบูรณ์ทำให้รถกระบะมีน้ำหนักเบาลง ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

รวมไปถึงได้รับมาตรฐานความปลอดภัยจึงทำให้ค่ายยานยนต์ให้ความไว้วางใจเลือกแบรนด์ Aeroflex เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์หลากหลายประเภทซึ่งจะทยอยออกสู่ตลาดภายในปีบัญชีนี้ นอกจากนี้แบรนด์ Aeroflex มีโครงการพัฒนาสินค้านวัตกรรมสำหรับยานยนต์ทั้ง ICE และ EV ร่วมกับค่ายยานยนต์เพื่อสร้างสินค้า New S-Curve อย่างต่อเนื่อง

สำหรับธุรกิจในออสเตรเลียภายใต้ Aeroklas Asia Pacific Group (AAPG) ยังคงอยู่ในช่วงการพลิกฟื้นธุรกิจ โดยเสริมการทำงานร่วมกันของธุรกิจและทุกแบรนด์ในออสเตรเลีย เช่น Aeroklas Fitment Center มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนธุรกิจ Fleet and OEM

ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายใต้แบรนด์ EPP ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 3 – 5% EPP ตั้งเป้าหมายขยายส่วนแบ่งการตลาดสำหรับบรรจุภัณฑ์อาหารและบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบรนด์ eici ด้วยมาตรฐานต่าง ๆ เช่น มอก./ GMP/ HACCP/ BRC และล่าสุด FSC (Forest Stewardship Council) จึงทำให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเลือก EPP เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมา EPP ได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตจึงพร้อมเพิ่มการผลิตหากคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ EPP ได้ใช้นวัตกรรมพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อช่วยลดของเสียจากการผลิต พร้อมนำเสนอบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลายสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครอบคลุม ได้แก่ บรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ เป็นต้น

ขณะที่ธุรกิจร่วมทุนกลุ่มธุรกิจฉนวนกันความร้อน-เย็น และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์ ทั้งในไทย อินเดีย และ จีน เติบโตได้ดีตามกลุ่มอุตสาหกรรม ด้านธุรกิจร่วมทุนในแอฟริกาใต้บริษัทและผู้ลงทุนรายอื่นได้ส่งที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เข้าไปดูแล ติดตาม และร่วมแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งงบลงทุนในปีบัญชี 67/68 (1 เม.ย.67- 31 มี.ค.68) รวม 466 ล้านบาท เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มเครื่องจักรและใช้ปรับปรุงไลน์การผลิต  อีกทั้งล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 67 เพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำปีให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท (สิบสตางค์) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 280 ล้านบาท ซึ่งกำหนดให้มีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นปี 67 ในวันที่ 24 ก.ค. 67 หากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นฯ มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 2 ส.ค. 67 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 21 ส.ค.67

Back to top button