โบรกชู TTB-KKP เด่น! สวนมรสุมกลุ่ม “แบงก์” หลังเจอ NPL พุ่ง

โบรกมองลบ “กลุ่มธนาคาร” เซ่นแรงกดดันแนวโน้มเติบโตเศรษฐกิจอ่อนแอ เจอ NPL ใหม่เพิ่ม รวมถึงต้นทุนจากงบลงทุนกดดัน ส่วนด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นและการเติบโตของกำไรที่คาดว่าจะชะลอตัวที่ 1% ในปี 67 ชู TTB-KKP เด่น!


บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงมีอยู่ คาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ (credit cost) อาจเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ไตรมาสข้างหน้าจากการก่อหนี้เสีย (NPL) ใหม่ที่สูงขึ้นในไตรมาส 1/2567 หากอิงจากความสัมพันธ์ในอดีตของการก่อ NPL ใหม่และต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) การก่อ NPL ใหม่ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/2567 อาจส่งผลให้ credit cost สูงขึ้นในไตรมาส 2-3/2567

ด้านทางฝ่ายนักวิเคราะห์เห็นสัญญาณเตือนอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปี 2567 จากสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SML) ของสินเชื่อโดยรวมตามรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุด

โดยลดต้นทุนได้ค่อนข้างยาก คาดการณ์ว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ของกลุ่มธนาคารในช่วงปี 2563 จะอยู่ที่ประมาณกลางๆ 40 และจะไม่เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของกำไรของกลุ่มธุรกิจนี้เหมือนในช่วงปี 2553 อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 44% ในปี 2566 จากต่ำสุดที่ 41% ในปี 2563 จากค่าใช้จ่ายด้านไอทีที่เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เชื่อว่าส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาด

ทั้งนี้ เชื่อว่าแนวคิดที่ว่าธนาคารทุกแห่งคาดหวังว่าการลงทุนด้านไอทีที่สูงขึ้นจะถูกชดเชยด้วยประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้นจะใช้เวลามากขึ้นจึงจะบังเกิดผลได้ ค่าใช้จ่ายด้านไอทีกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 14% ต่อปีในช่วงปี 2564-2566 เป็น 4.58 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และคิดเป็น 12% ของค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (OPEX) ทั้งหมดในปี 2566 ในไตรมาส 1/2567 ค่าใช้จ่ายด้านไอทียังคงเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่ 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเป็น 1.3 หมื่นล้านบาท

สำหรับการฟื้นตัวของการเติบโตของสินเชื่อ แม้ว่าการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มธนาคารในไตรมาส 1/2567 จะลดลงจากการอนุมัติสินเชื่อของธนาคารที่เข้มงวดขึ้นและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่คาดการณ์ว่าสินเชื่อจะเติบโตดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยได้รับแรงหนุนจากสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อภาครัฐที่สูงขึ้น และการเติบโตของ GDP ที่คาดการณ์จะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2567

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KR) ประมาณการการเติบโตของ GDP ปี 2567 ที่ 2.6% เทียบกับการเติบโตของ GDP ไตรมาส 1/2567 ที่ 1.5%

อีกทั้งสินเชื่อที่อยู่อาศัยคาดว่าจะสูงขึ้น เนื่องจากเราคาดว่าโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จแล้วและมูลค่างานในมือ (backlog) จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 เป็นต้นไป

ดังนั้น ทางฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงมุมมองเชิงลบต่อกลุ่มธนาคาร โดยเลือกธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 1.88 บาท และธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP เป็นหุ้นเด่น โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 56.50 บาท

เราคาดว่ากลุ่มธนาคารยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ การก่อ NPL ใหม่ที่เพิ่มขึ้น แรงกดดันด้านต้นทุนจากงบลงทุน (Capex) ด้าน digital transformation และการเติบโตของกำไรที่คาดว่าจะชะลอตัวที่ 1% ในปี 2567

Back to top button