พาราสาวะถี

วันนี้มีนัดหมาย 4 คดีสำคัญที่ถูกมองว่าจะส่งผลต่อสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศ ตัดสินแน่ ๆ คือ คดีที่ศาลปกครองกลางเป็นผู้ส่งคำโต้แย้งผู้ฟ้องคดีรวม 2 คำร้อง


วันนี้ (18 มิถุนายน) มีนัดหมาย 4 คดีสำคัญที่ถูกมองว่าจะส่งผลต่อสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศ ตัดสินแน่ ๆ คือ คดีที่ศาลปกครองกลางเป็นผู้ส่งคำโต้แย้งผู้ฟ้องคดีรวม 2 คำร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 36, 40, 41 และมาตรา 42 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 หรือไม่ หากศาลชี้ขาดว่าขัดจะส่งผลให้การเลือก สว.ระดับจังหวัดที่เพิ่งจบไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมากลายเป็นโมฆะ และต้องแก้กฎหมายและเลือกกันใหม่ต่อไป

ขณะที่ คดีที่สองกรณียุบพรรคก้าวไกล เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ กกต.ยื่นบัญชีระบุพยาน หลักฐานต่อศาล และนัดพิจารณาต่อในวันนี้ โดยที่ทางพรรคก้าวไกลต้องการให้เปิดการไต่สวน อยู่ที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาจากพยาน หลักฐาน ซึ่งมีการคาดหมายกันว่าอาจพิจารณาเฉพาะบัญชีที่ระบุพยาน หลักฐาน ตามที่มีคำสั่งและ กกต.ได้ส่งเพิ่มเติมเท่านั้น หากเห็นแล้วว่าเพียงพอต่อการพิจารณาวินิจฉัยได้ และอาจมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดในวันนี้ เรียกได้ว่าต้องลุ้น

ทั้งนี้ ความเป็นไปได้ที่จะวินิจฉัยเลยน่าจะน้อย แต่ถ้าเป็นสัปดาห์ถัดไปก็ไม่แน่ ซึ่งนั่นก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ที่สภาเปิดประชุมสมัยวิสามัญพิจารณากันในระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายนนี้ อีกคดีเป็นปมที่ 40 สว.ยื่นร้องให้มีการพิจารณาสอย เศรษฐา ทวีสิน จากการตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ โดยศาลมีคำสั่งให้คู่กรณียื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานภายในวันที่ 17 มิถุนายน

ในคำสั่งดังกล่าว ยังระบุอีกว่า ให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเสนอให้พิจารณาด้วย ขณะที่เศรษฐาให้สัมภาษณ์มีการยื่นพยานเพิ่มเพียงคนเดียว ด้านผู้ร้องคือพวกลากตั้งยื่นมากกว่าหนึ่งปาก เมื่อเป็นเช่นนั้น กระบวนการพิจารณาของศาลจึงไม่น่าจะเร็ว การวินิจฉัยน่าจะหลังจากคดีการยุบพรรคก้าวไกลไปแล้ว ที่ถูกจับตาเป็นพิเศษคือคดีถูกร้องผิดมาตรา 112 ของ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งอัยการสูงสุดนัดส่งตัวฟ้องต่อศาลในวันนี้

มีข่าวปล่อยมาตลอด ทั้งเรื่องอดีตนายกรัฐมนตรีหนีไปต่างประเทศ บ้างก็ว่าเข้าไปนอนในโรงพยาบาล เลวร้ายสุดคือ การวิ่งเต้นจ่ายเงินเพื่อล้มคดี ล้วนแต่เป็นการดิสเครดิตของพวกขาประจำที่ต่อต้านระบบอุปโลกน์อย่างระบอบทักษิณนั่นเอง มีรายงานจากบ้านจันทร์ส่องหล้า นายใหญ่พร้อมที่จะเดินทางไปพบอัยการสูงสุดตามนัดหมาย จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการ เมื่ออัยการนำตัวส่งฟ้องต่อศาล หลังศาลรับคำฟ้องจะมีการยื่นขอประกันตัว โดยคาดหมายกันว่าน่าจะได้รับการประกันมากกว่าต้องกลับเข้าไปซังเต

ล่าสุด วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของทักษิณยืนยันแล้วว่า อดีตนายกฯ จะเดินทางเข้ารายงานตัวกับอัยการ ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก ตามนัดรายงานตัวแน่นอน เนื่องจากหากไม่ไปตามนัด จะผิดสัญญาประกัน อย่างไรก็ตาม นักข่าวถามถึงเรื่องขอความเป็นธรรมที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ทนายความนายใหญ่ยืนยันว่าไม่มี แต่จะมีการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการต่อสู้คดีในวันนี้ อ่านสัญญาณกันอย่างนี้ น่าจะเห็นแนวโน้มว่าเป็นอย่างไร

เรื่องที่นายใหญ่ถูกมองว่าเป็นผู้มีอำนาจตัวจริงทั้งในพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลนั้น เมื่อวานผู้สื่อข่าวก็รายงานว่ามีรถของ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วิ่งเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า ก่อนที่ขุนคลังจะปฏิเสธและบอกว่า “ผมไปทำธุระมา” ไม่ว่าจะอย่างไร แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ทักษิณกับรัฐบาลและพรรคแกนนำนั้นย่อมปรึกษาหารือกันอยู่แล้ว สิ่งสำคัญ แม้จะอ้างเรื่องทุกอย่างเปลี่ยนแปลงจากสมัยที่เคยมีอำนาจ ทว่าการบริหารงานการเมืองเป็นเรื่องที่ต้องอาศัย “ผู้มากบารมี” เท่านั้นมาจัดการ

อย่าลืมว่า เงื่อนไขของดีลที่เกิดรัฐบาลพลิกขั้ว อำนาจในการบริหารบ้านเมืองเป็นของเศรษฐาที่จะใช้ความรู้ ความสามารถและความเด็ดขาดในการตัดสินใจ แต่อะไรที่เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองนายใหญ่คือตัวช่วยที่จะต้องใช้ประสบการณ์ การตัดสินใจ เพื่อให้พรรคแกนนำเดินไปตามแนวทางที่จะกลับมายิ่งใหญ่ เป้าหมายการเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ได้มีเพียงแค่เพื่อไทยที่จะต้องเบียดแย่งกับก้าวไกลหรือจะแปรสภาพเป็นพรรคใหม่ถ้าถูกยุบ ชนิดหายใจรดต้นคอเท่านั้น

ยังถือเป็น “เป้าหมายร่วม” ของพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน  ที่จะทำให้คะแนนนิยมกระเตื้องขึ้นมา สามารถแย่งชิงเก้าอี้ สส.ระบบเขตให้ได้มากกว่าเดิม นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผู้อยู่เบื้องหลังของพรรคแกนนำฝ่ายค้านต้องประกาศว่า ลำพังเสียงหนุนอย่างล้นหลามจากโพล และเห็นแนวโน้มว่าโอกาสชนะเลือกตั้งครั้งต่อไปสดใสยังไม่เพียงพอ ต้องให้แลนด์สไลด์เหมือนที่เพื่อไทยเคยตั้งเป้าไว้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถ้าได้ สส.น้อยกว่า 250 เสียง ต่อให้เข้าวินโอกาสที่จะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลก็น้อยเหมือนเดิม

แม้ว่าพวกลากตั้งจะไม่มีอำนาจร่วมโหวตเลือกนายกฯ แล้วก็ตาม ต้องย้ำอีกครั้งว่า ตามมารยาททางการเมืองคือ พรรคชนะเลือกตั้งจะเป็นพรรคอันดับแรกที่ได้รับสิทธิรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อตั้งรัฐบาล อย่างที่รู้และเห็นกัน ความสุดโต่งที่จะทำให้พรรคการเมืองอื่นร่วมทำงานด้วยยากเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้จะก้าวไปถึงจุดนั้น ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบัน โอกาสที่จะได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นมองไม่เห็น บางพรรคอาจถึงขั้นสูญพันธุ์

ไม่ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จทันการเลือกตั้งครั้งใหม่หรือไม่ ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญต่อการชี้วัดว่าใครจะได้เข้าไปกุมบังเหียนการบริหารประเทศ จุดชี้วัดอยู่ที่กระบวนการคิด ทัศนคติ และแนวทางต่อการนำพาประเทศ ความท้าทายของพรรคคนรุ่นใหม่อยู่ที่การไปยุ่งกับอำนาจที่ทรงพลัง เมื่อเลือกเดินบนเส้นทางสุดโต่ง มันก็ไม่ต่างจากพวกอนุรักษนิยมที่สุดท้ายก็เดินต่อไม่ได้ ทุกอย่างต้องเดินทางสายกลาง ทักษิณและเพื่อไทยก็เคยเจอมาแล้ว จึงสรุปบทเรียนและเลือกที่จะอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง การถูกกล่าวหาว่าตระบัดสัตย์ คงไม่มีใครยอมรับ รู้กันอยู่นี่คือประเทศไทยใครโลกสวยอยู่ยาก

อรชุน

Back to top button