“กิติพงศ์” คอนเฟิร์ม “อัสสเดช คงสิริ” ผู้จัดการ ตลท.คนใหม่ ไร้มลทินเอี่ยวคดี STARK
“กิติพงศ์” คอนเฟิร์ม “อัสสเดช คงสิริ” ผู้จัดการ ตลท.คนใหม่ ไร้มลทินเอี่ยวคดี STARK แม้ว่าเข้าไปเป็นกรรมการหรือหัวหน้าแผนกในดีลอยท์ในปี 65 แต่การฟ้องไม่เกี่ยวกับฟ้องผู้ถือหุ้น ต้องไปดูว่าความผิดเกิดขึ้นที่ตรงไหน และไม่เกี่ยวกับกรรมการที่เกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (18 มิ.ย. 67) ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ทางช่อง 9 MCOTHD ถึงประเด็น นายอัสสเดช คงสิริ เป็นผู้จัดการ ตลท.คนใหม่ โดยกล่าวว่า การคัดเลือกผู้จัดการ ตลท.คนใหม่นั้นมาจากการที่คณะกรรมการสรรหาโดยมีเสนอมาให้คณะกรรมการชุดใหญ่ 2 คน จากทั้งหมด 5 คน จากนั้นก็เอาคนที่ได้ 2 คนนี้มาแสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะกรรมการมาสัมภาษณ์และลงคะแนน จากนั้นก็ได้รับเลือกให้เป็น ผู้จัดการ ตลท. จริงๆแล้วก็มีการประชุมนอกรอบก่อน จากนั้นก็มาตกลงกันในเรื่องของเงินเดือน ซึ่งเป็นการยืนยันว่าเป็นการคัดเลือกเป็นเอกฉันท์จากกรรมการที่มีทั้งหมด 10 คนทั้งหมด
สำหรับจุดแข็ง นายอัสสเดช คือมีประสบการณ์ความรู้ด้านการเงินทั้งบริษัทในไทย บริษัทข้ามชาติ และสถาบันการเงิน J.P. Morgan , Bank of America , บริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทย นอกจากนี้จากการแสดงวิสัยทัศน์ที่จะทำในตลาดหุ้นใหม่ก็น่าสนใจและเครือข่ายที่มีในต่างประเทศก็จะช่วยขายประเทศไทยได้ และที่สำคัญถ้าได้ทำหน้าที่และได้ต่ออายุก็จะได้ทำถึง 7-8 ปี ถ้าทำสั้นก็จะทำไม่ได้ และนี่คือเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่เลือก นายอัสสเดช ที่ตอนนี้อายุ 53 ปี
ส่วนเรื่องที่นายอัสสเดชไปพัวพันบริษัทดีลอยท์ตรวจสอบบัญชี เรื่องนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวว่า การที่นายอัสสเดชเข้าไปเป็นกรรมการหรือหัวหน้าแผนกในดีลอยท์ปี 2565 ทาง ดีลอยท์ ได้สอบบัญชีของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ในปี 2564 ซึ่งเป็นปีที่ก่อนนายอัสสเดช เข้ารับตำแหน่ง แล้วก็ PwC ไปเป็นผู้สอบบัญชี เนื่องจากดีลอยท์ไม่ได้ให้ความเห็นทางบัญชี อันนี้ก็คือเป็นช่วงหนึ่ง จนต่อมามีการ ENGAGE ให้ดีลอยท์ฟอเรนซิก ทำให้ นายอัสสเดช ไม่ได้มีความเกี่ยวใดๆกับ STARK และอย่างที่สองคือโครงสร้างบริษัทที่ปรึกษาในประเทศนี้ไม่ว่าจะ BIG4 โครงสร้างของผู้สอบบัญชีก็จะแยกออกมาจากบริษัทที่ปรึกษา
ส่วนเรื่องการถือหุ้นของ นายอัสสเดช ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะใครที่ได้เป็นพาร์ทเนอร์ก็จะได้รับการโอนหุ้นจากพาร์ทเนอร์คนเก่าที่เกษียณไป เพราะ นายอัสสเดช เป็นหัวหน้าสาย เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ยืนยันว่าไม่ได้มีเกี่ยวข้องกับ STARK ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการคัดเลือกก็ดูประเด็นนี้ประกอบด้วย ส่วนจะมีการโอนหุ้นก่อนเดือนมิถุนายน ปี 2565 หรือไม่นั้นไม่แน่ใจ
ส่วนกรณีที่ผู้เสียหายจากคดี STARK มีการฟ้องร้องดีลอยท์ เรื่องนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวว่าการฟ้องไม่เกี่ยวกับฟ้องผู้ถือหุ้น ต้องไปดูว่าความผิดเกิดขึ้นที่ตรงไหน และไม่เกี่ยวกับกรรมการที่เกี่ยวข้อง
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าการที่ นายอัสสเดชลาออกจากดีลอยท์เป็นเรื่องปกติ เพราะก่อนหน้านี้ต้องมีการตกลงกับการตลาดก่อน จากนั้นจึงไปลาออก ถ้ามีการถือหุ้นอยู่ก็ต้องโอนหุ้นไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
สำหรับจุดเด่นของนายอัสสเดชนั้นก็คือมีการนำเสนอแผนสร้างความเชื่อ ก็คือเรื่องการเสนออนาคตหุ้นของไทยต้องมีการเจริญเติบโต ธุรกิจไหนเติบโตดีก็ต้องทำแผนธุรกิจ จริงๆอยากให้ทำทุกอันซึ้จะรู้ว่าบริษัทจะลงทุนทำอะไรบ้าง ซึ่งก็อยากให้เขียนแผน ซึ่งทำให้อย่างน้อยตลาดจะเอาข้อมูลมาผสมผสายแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบ