คัด 4 หุ้นค้าปลีก จ่อรับประโยชน์คลังเก็บภาษี 7% สินค้านำเข้าตปท. มูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท

กระทรวงการคลัง เตรียมบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT 7% สินค้านำเข้าจากต่างประเทศมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท เริ่ม 5 ก.ค.นี้ โบรกมอง 4 หุ้น ได้รับประโยชน์ อาทิ CPALL-CPAXT-BJC-MOSHI


จากกรณีกระทรวงการคลังประกาศราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่เรื่อง การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% สำหรับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ซึ่งประกาศดังกล่าวจะมีผลใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎคม 2567

โดยเหตุผลการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้านำเข้านั้น เนื่องจากรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังได้เสนอร่างประกาศเรื่องการแก้ไขกฎหมายการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% สำหรับการสั่งสินค้านำเข้าจากต่างประเทศผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมในการขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคระหว่างผู้ขายในต่างประเทศที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่ผู้ขายในประเทศต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ประกอบกับประเทศไทยต้องปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งให้กำหนดราคาขั้นต่ำของสินค้าที่นำเข้าแต่ละรายเพื่อให้คุ้มค่ากับการจัดเก็บอากรศุลกากรอันเพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจ

ทั้งนี้มาตรการดังกล่าวอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2567 ออกประกาศไว้ คือ

1.ให้ยกเว้นอากรสำหรับของที่นำเข้า ซึ่งแต่ละรายผู้รับในประเทศมีราคารวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย (CIF ที่มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งบาทแต่ไม่เกินหนึ่งพันห้าร้อยบาท

2.ผู้นำของเข้าต้องปฏิบัติตามพิธีการที่อธิบดีกรมศุลกากรประกาศกำหนด

3.ประกาศนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่นประกาศในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ประกาศ ณ วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2567

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ยอดสินค้านําเข้ามีเกือบ 40 ล้านชิ้น เป็นสินค้าที่ต่ำกว่า 1,500 บาท คิดเป็นประมาณ 90% หรือประมาณ 36 ล้านชิ้น ซึ่งเยอะมากโดยส่วนใหญ่จะมาจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งนี้ การเก็บในส่วนภาษี VAT สินค้านำเข้าจะเริ่มเข้าไปดำเนินการ เพื่อให้มันเกิดความเป็นธรรมแต่ภาคการผลิตเอสเอ็มอีไทย (SME) ที่ต้องแข่งขันกับสินค้านําเข้าจากต่างประเทศ ยกตัวอย่างประเทศจีน เป็นต้น

ด้าน นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากสินค้าออนไลน์และนำเข้าจากต่างประเทศในช่วงแรกจะใช้อำนาจของกรมศุลกากรในการออกประกาศออกมาใช้ก่อน ซึ่งจะทำได้รวดเร็วกว่าและสามารถเก็บภาษีได้ทันที

“ในระยะยาวกระทรวงการคลังจะต้องไปแก้ไขประมวลรัษฎากร ในส่วนของกรมสรรพากร ซึ่งจะใช้เวลานานกว่า จึงจะค่อยทยอยแก้ไขทำตามมาภายหลัง สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบการจัดเก็บภาษี ยังต้องรอกฎหมายออกมาบังคับใช้ก่อน ยังเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ แต่ยืนยันว่าจะมีความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายแน่นอน” นายลวรณ กล่าว

ขณะที่ประมวลรัษฎากรมีการระบุในกฎหมายผูกรวมกันให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจะเก็บได้เฉพาะสินค้าที่ต้องเสียอากรนำเข้าที่มีมูลค่ามากกว่า 1,500 บาทขึ้นไป ซึ่งทำให้ที่ผ่านมาสินค้านำเข้าและมีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท จะได้รับยกเว้นอากรขาเข้า พร้อมทั้งจะไม่ถูกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังแก้ไขประมวลดังกล่าว โดยให้แยกภาษีทั้ง 2 ส่วนออกจากกัน ซึ่งจะส่งผลให้เก็บภาษีมูลค่าได้เลยตั้งแต่บาทแรก เพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ระบบภาษี

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่ากระทรวงการคลัง ได้ออกประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเพื่อรองรับการการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท เรียบร้อยแล้ว เพื่อแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภค ระหว่างผู้ขายในต่างประเทศที่ไม่ต้องเสีย VAT กับผู้ขายในประเทศที่ต้องเสีย VAT

โดยจะมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งแนวโน้มสอดคล้องกับ Digital Wallet ที่คาดการณ์ห้ามใช้สิทธิ์ซื้อสินค้านำเข้า ทั้งนี้มองเป็นปัจจัยที่ดีต่อกลุ่มค้าปลีก จึงแนะนำลงทุน อาทิ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)  หรือ CPAXT, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC และ บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MOSHI

สำหรับ CPALL ทาง บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด มีมุมมองบวกต่อผลการดำเนินงานทั้งปี 2567 จากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเป็นปัจจัยหนุนต่อผลประกอบการ โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์กำไรปี 2567 เฉลี่ย 22,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากกำไรในงวดไตรมาส 1/2567 คิดเป็นสัดส่วน 28% ของประมาณการทั้งปี คาดกำไรงวดไตรมาส 2/2567 ราว 5,907 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยมีราคาเหมาะสม
Consensus 76.00 บาท แนะนำ “ซื้อ”

ขณะที่ BJC ทาง บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่าในปี 67 เติบโต 5% ขณะที่ปี 68 จะเติบโต 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ ขณะที่ ยอดขายบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มฟื้นตัวเนื่องจากยอดขายกระป้องอลูมิเนียมในประเทศเพิ่มขึ้นและการบริโภคในเวียดนามฟื้นตัว อีกทั้ง คาดการณ์ว่าจะได้อานิสงส์จากมหกรรมฟุตบอลยูโรปี 2567 สำหรับธุรกิจแก้วและบรรจุภัณฑ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ส่วนการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในไทยและเวียดนามผนวกกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่จะช่วยหนุนยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลยังจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับภาครัฐ โดยฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ว่ายอดขายของธุรกิจบิ๊กซี จะเติบโตจากคาดการณ์ SSSG ที่ 2% รวมไปถึงการขยายสาขา โดยแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 29 บาท

อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานจะยังเติบโตได้ดี EBITDA เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนในปี 67 จากการเติบโตของยอดขาย ในทุกกลุ่มธุรกิจของ BJC และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นจากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ลดลง

นอกจากนี้หุ้น MOSHI ทาง บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์รายได้ปี 67 ขยายตัวได้ 27% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรไตรมาส 1/67 คิดเป็น 24% ต่อประมาณการกำไรทั้งปี ขณะที่แนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 2/67 ยังเติบโตได้เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการขยายสาขาใหม่และอัตราการทำกำไรของบริษัทที่ขยายตัวได้ดี แม้จะเห็นกำลังซื้อที่อ่อนตัวตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนเมษายน 67 แต่จะมีแรงหนุนจากแคมเปญการตลาดที่จะช่วยกระตุ้นยอดขาย โดยในไตรมาส 2/67 จะได้ผลบวกจากช่วงเปิดเทอม และในเดือนพฤษภาคม 67 ที่จะมีสปอนเซอร์คอนเสิร์ต ของศิลปินเหมือนที่เคยทำในปี 66 ทั้งนี้ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 67 ที่ 65.00 บาท

Back to top button