พาราสาวะถีอรชุน
ไม่ต้องรอให้มาตรวจสอบ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จึงเชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมาสอบประเด็นรถหรูที่มีนำมาถวายให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์หรือสมเด็จช่วง ว่าที่พระสังฆราชองค์ที่ 20 หลังจากที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน ได้ไปยื่นเรื่องร้องให้เร่งตรวจสอบโดยอ้างว่าคดีนี้ล่าช้ามาเนิ่นนานนับตั้งแต่ปี 2556
ไม่ต้องรอให้มาตรวจสอบ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จึงเชิญเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมาสอบประเด็นรถหรูที่มีนำมาถวายให้สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์หรือสมเด็จช่วง ว่าที่พระสังฆราชองค์ที่ 20 หลังจากที่ ไพบูลย์ นิติตะวัน ได้ไปยื่นเรื่องร้องให้เร่งตรวจสอบโดยอ้างว่าคดีนี้ล่าช้ามาเนิ่นนานนับตั้งแต่ปี 2556
แน่นอนว่า ไม่ว่าไพบูลย์หรือเจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นความจงใจให้เกิดภาพมัวหมองต่อสมเด็จช่วง เด็กอมมือยังมองออกว่าเป็นอย่างนั้นหรือไม่ แต่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายทางวัดปากน้ำเลยไม่รอเข้าคิวตรวจ เชิญดีเอสไอมาพร้อมส่งมอบเอกสารทุกอย่างให้ไปตรวจสอบเองว่ามีอะไรที่ผิดกฎหมายหรือไม่
เพราะถ้าจะไปถามพระผู้ใหญ่ท่านว่ารู้หรือไม่รถที่นำมาถวายเป็นรถจดประกอบ ท่านคงไม่รู้เรื่องอะไร กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาฉันท์ใด พฤติกรรมของคนบางพวกบางฝ่ายย่อมเห็นได้ชัดเจนฉันท์นั้นว่า หวังดีหรือมีเบื้องหลังกันแน่ ประเภทที่ต้องการจะเสี้ยมให้เกิดความขัดแย้งในหมู่สงฆ์โดยเฉพาะคนที่ได้ชื่อว่าห่มผ้าเหลืองด้วยแล้วถือเป็นพวกสารเลวเป็นอย่างยิ่ง
เหมือนอย่างที่เคยบอกไว้พระสองนิกายทั้งธรรมยุตินิกายและมหานิกายไม่มีอะไรที่บาดหมางต่อกัน ยิ่งข้อกล่าวหาของเดียรถีย์ยิ่งเห็นได้ชัดว่า เจตนาร้ายเพียงใด ล่าสุดที่บอกว่าสมเด็จช่วงเป็นผู้เสนอชื่อตัวเองเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ ทั้งที่ความจริงในการประชุมมหาเถรสมาคม หรือ มส. สมเด็จวัดปากน้ำไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย เพราะถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
ด้วยเหตุนี้จึงมีการไปสัมภาษณ์พระชื่อดังของทั้งสองนิกายต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยในส่วนของมหานิกาย พระราชวิจิตรปฏิภาณหรือเจ้าคุณพิพิธ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม มองว่าตามกฎหมายของคณะสงฆ์ ระบุมติของมหาเถรสมาคมเป็นที่สิ้นสุด นายกรัฐมนตรีเพียงเป็นผู้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้สถาปนาเท่านั้น โดยไม่มีสิทธิซักถาม ทักท้วงใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ เจ้าคุณพิพิธยังตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดรัฐบาลจึงต้องเกรงใจพุทธะอิสระมากขนาดนี้ ถึงกับต้องระงับยับยั้งการเสนอนามเพื่อสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมายสงฆ์และขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดกันมาช้านาน ไม่ทราบว่ามีเบื้องหลังอะไรหรือไม่ การกระทำแบบนี้เป็นการสร้างความแตกแยกที่จะก่อให้เกิดปัญหาในภายหน้า
เช่นเดียวกัน ถ้าพุทธะอิสระมีความโกรธแค้นไม่พอใจใดๆวัดพระธรรมกาย ก็ไม่สมควรนำสมเด็จช่วง เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับวัดพระธรรมกาย เพียงไปตามกิจนิมนต์บ้างเท่านั้น ขณะเดียวกันสมเด็จช่วงก็ไม่เคยออกมาแสดงกิริยาไม่พอใจอะไร แม้พุทธะอิสระจะกระทำการอันเป็นการดูหมิ่นท่านก็ตาม
ขณะที่พระราชญาณกวี เจ้าของนามปากกา ปิยโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ในฐานะพระฝ่ายธรรมยุติ แสดงความเชื่อมั่นว่า สมเด็จช่วงเป็นพระมหาเถระที่เหมาะสมกับการได้รับสถาปนาเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่แล้ว การที่มีกระแสต่อต้านจากบางคนนั้นคิดว่ามีเบื้องหลังแต่ไม่สามารถพูดได้ บุคคลแต่ละคนที่ออกมาต่อต้านล้วนแล้วแต่มีการต่อต้านในประเด็นอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาด้วย
ส่วนเรื่องกระแสข่าวเกี่ยวกับกรณีรถของวัดปากน้ำ เป็นเพียงซากรถเก่าหาใช่รถหรูตามที่กล่าวหาไม่ ซึ่งเชื่อว่าหากสมเด็จช่วงไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชได้จริง จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะพระหรือคนทั่วไปต่างมองเห็นความวุ่นวายใหญ่โตรออยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่าผู้มีอำนาจคิดอย่างไร หรือไม่สามารถสลัดหลุดจากความเป็นสาวกแห่งผู้นำทางจิตวิญญาณได้
การที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาด้วยการย้ำว่า”ตัวเองกลัวกฎหมาย” จึงเป็นเครื่องหมายคำถาม ถ้ากลัวจริงแล้วทำไมถึงดองเรื่องดึงการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ให้ล่าช้าออกไป ผิดกับกรณีการปลดบอร์ด สสส. 7 คนออกไปแล้วสั่งให้กลับมาทำงานใหม่ ไม่รู้ว่าเป็นการกลัวและใช้กฎหมายประสาอะไร
ไม่เพียงเท่านั้น พฤติกรรมดังกล่าวยังเข้าข่ายเลือกปฏิบัติหรือสองมาตรฐานหรือไม่ เช่นเดียวกับกรณีการเข้าไปรับซื้อยางพาราจากที่เดิมทีตั้งเป้าจะช่วยเฉพาะชาวสวนยางภาคใต้ก่อน จนคนวิจารณ์ว่าเพราะเป็นพวกเดียวกัน สุดท้ายต้องมาแก้เกี้ยวด้วยการตั้งจุดรับซื้อยางทั่วประเทศ ถ้าชาวสวนยางภาคเหนือและอีสานไม่โวยวายคงจะตีเนียนไป
ความจริงแล้วเรื่องมาตรฐานที่ไม่มี คงเห็นกันได้อย่างชัดเจนแล้วเมื่อคราวปล่อยให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ แถลงข่าวสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ด้วยเหตุผลพวกเดียวกัน แต่พอเป็นพวกเห็นต่างอย่าง นปช. ขอแถลงในลักษณะเดียวกันบ้างกลับได้รับการปฏิเสธด้วยเหตุผลสีข้างเข้าถู ด้วยเหตุนี้คำที่ว่ากลัวกฎหมายจึงไม่ใช่คำกล่าวที่ศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด
ส่วนการร่างรัฐธรรมนูญของ กรธ. หลังจากได้เห็นเค้าโครงของร่างแรกที่จะคลอดกันมาปลายเดือนนี้แล้ว หากไม่ใช่พวกเดียวกันล้วนแต่ส่ายหน้ากันเป็นแถว เพราะชัดเจนว่าอำนาจทุกอย่างได้ถูกวางไว้ที่องค์กรอิสระโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะมีอำนาจใหญ่กว่าอำนาจของสามเสาหลักประชาธิปไตยทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ
อย่างที่ ทิวา การกระสัง อดีต สปช. จังหวัดบุรีรัมย์ตั้งข้อสังเกต นี่เป็นความคิดยุคไดโนเสาร์ แต่กลับบอกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบประเทศไทย เป็นการทำลายระบบการถ่วงดุลอย่างชัดเจน ถ้ามีการทำประชามติจริงเชื่อว่าจะไม่ผ่าน แต่ถ้าจะผ่านก็จะเกิดจากคะแนนของประชาชนบางส่วนที่รู้สึกเบื่อหน่ายอยากให้มีการเลือกตั้งเพื่อปลดล็อกการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากต่างประเทศเสียที ไม่ใช่รับเพราะเรื่องสิทธิเสรีภาพ เพราะมันไม่มี นี่ขนาดคนที่คิดว่าพวกเดียวกันยังส่ายหน้า