พาราสาวะถี
จากที่คิดว่าจะจบเร็วทำท่าจะกลายเป็นหนังชีวิต สำหรับการเลือก สว. แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ประกาศหลังการเลือกเสร็จสิ้นเมื่อ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา
จากที่คิดว่าจะจบเร็วทำท่าจะกลายเป็นหนังชีวิต สำหรับการเลือก สว. แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ประกาศหลังการเลือกเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า น่าจะรับรองว่าที่ สว.ทั้ง 200 คนได้ภายในวันนี้ (3 กรกฎาคม) แต่ปรากฏว่าการที่อดีตผู้สมัครมีการยื่นร้องอุตลุดทั้งร้องตรงต่อ กกต.เอง และฟ้องต่อศาลปกครอง เพื่อให้มีการชะลอหรือระงับการประกาศรับรองผลออกไป จึงทำให้มีความเป็นไปได้ว่าการรับรองดังกล่าวจะล่าช้าออกไป
นานขนาดไหนไม่มีใครคาดเดาได้ เพราะตามกฎหมายเมื่อได้ชื่อผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สว.แล้ว ให้ กกต.คงรายชื่อนั้นไว้ 5 วัน เพื่อรอการยื่นร้องเรียนการเลือก หากไม่มีปัญหาก็สามารถประกาศรับรองรายชื่อทั้ง 200 คนได้ แต่เมื่อมีการยื่นเรื่องร้องเรียนเป็นจำนวนมาก ทำให้ กกต.ต้องตรวจสอบกันอย่างละเอียด โดยประเด็นสำคัญคือการพิจารณาคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของผู้ที่มีคะแนนอยู่ในเกณฑ์ได้รับเลือกเป็น สว. ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ระยะเวลา
ไม่ต้องไปถาม กกต.ว่าแล้วต้องใช้เวลานานเท่าใด เพราะจะมีการอ้างข้อกฎหมายที่ว่าให้รอไว้ 5 วัน แต่ไม่ได้บอกว่าให้ประกาศภายในกี่วัน นั่นหมายความว่า จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่มีการยื่นร้องเรียน และกระบวนการทำงานเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยของ กกต.ด้วย กรณีนี้เป็นเรื่องที่น่าห่วง เนื่องจากผลของการทำงานว่าด้วยการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง สส.ที่ผ่านมา เห็นแล้วว่าประสิทธิภาพในการตรวจสอบนั้นเป็นอย่างไร
หากจะตัดว่านั่นเป็นเพราะมีแรงกดดันทางการเมืองที่เกี่ยวพันกับอำนาจเก่า กรณีของ สว.ก็คงจะไม่ต่างกันหากมองไปยังที่มาของผู้ทำหน้าที่ในองค์กรอิสระแห่งนี้ ต่อการยึดโยงกับเครือข่ายของขบวนการเผด็จการสืบทอดอำนาจ ยิ่งมีโอกาสที่จะทำให้เกิดปัญหาได้มากกว่า อันเป็นผลสืบเนื่องจากความพยายามที่แสดงออกกันก่อนหน้าต่อการที่อยากให้มีการล้มกระบวนการเลือก หรือทำให้ผลการเลือกเป็นโมฆะ เพียงแต่ว่ากรณีปัญหาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้ กกต.ต้องตัดสินถึงขนาดนั้น
ประเด็นนี้ เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหรือ กรธ. ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ถ้าจะเป็นโมฆะก็ควรจะโมฆะเพราะคนที่เข้ามา 200 คน ที่ตรวจสอบแล้วพบว่าโกง ฮั้ว ส่วนใหญ่เข้ามาโดยไม่ชอบ ลักษณะอย่างนี้ควรให้กระบวนการเป็นโมฆะ แต่ถ้าเป็นเรื่องคุณสมบัติ เรื่องของความรู้ อาจจะไม่ได้ ประสบการณ์อาจจะยังไม่เหมาะ แต่ถ้าไม่ได้โกง ไม่ได้ฮั้วกันมาไม่ควรไปตัดสินด้วยเหตุเพียงเท่านั้น ต้องให้โอกาสผู้ได้รับเลือกทำงานไปก่อน
พูดให้ชัดก็คือ การด้อยค่าคนที่การศึกษา ซึ่งเจษฎ์มองว่า อย่าไปคิดว่าป.4 ทำอะไรได้น้อยกว่าปริญญาเอก ปริญญาเอกทำอะไรไม่ได้เรื่องได้ราวเยอะแยะ ป.4 ทำอะไรดีงามมากมาย คนที่ไม่เคยเล่าเรียน แต่ทำงานแล้วสามารถเข้าใจ เรียนรู้งานได้รวดเร็วก็มีมาก สิ่งที่อาจจะจำเป็นคือวงงานสภา จะทำอย่างไรก็ต้องให้ความรู้แก่คนเหล่านี้ ต้องย้ำกันอีกว่า ว่าที่ สว.ทั้ง 200 คนใครที่ถูกตั้งข้อกังขาในทำนองบูลลี่เรื่องความรู้นั้น ยิ่งต้องได้โอกาสเพื่อพิสูจน์ความสามารถจากผลของการทำงาน
ความจริงแล้วการเป็นสมาชิกสภาสูง ไม่ควรถูกจำกัดหรือกีดกันด้วยวุฒิการศึกษา แต่ควรจะต้องเน้นหนักไปในจุดที่ว่าคนที่ผ่านกระบวนการเลือกกันเองมานั้น ต้องบริสุทธิ์ โปร่งใส ไม่คดโกงเสียมากกว่า หากเลือกคนที่ความรู้แต่ใจสกปรก สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการเข้าไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ยิ่งมีการตั้งกลุ่มก๊วนกันด้วยแล้ว ยิ่งจะทำให้เพิ่มอำนาจการต่อรองทางการเมืองได้มากขึ้นอีกด้วย ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ กกต.ต้องให้ความสำคัญ ตรวจสอบให้ละเอียด และชี้แจงกับสังคมให้สิ้นสงสัย
การประชุม ครม.สัญจรที่โคราชเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ช่วยทำให้เห็นภาพทางการเมืองว่าด้วยการรวบรวมบรรดาพรรคเล็กพรรคน้อยทั้งหลายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็พรรคชาติพัฒนาภายใต้การกุมบังเหียนของ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เหมือนที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยประกาศไว้ก่อนหน้า ต่อไปเจ้าตัวจะเข้ามามีบทบาทนำที่สำคัญร่วมกับพรรคแกนนำรัฐบาลในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้น
ภาพของการที่เจ้าตัวยกโขยงคณะผู้บริหารพรรคไปต้อนรับ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีพาณิชย์ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลนั้น เหมือนจะเป็นการตอกย้ำ ยืนยันความชัดเจนเรื่องการเข้าร่วมกับเพื่อไทยอย่างแน่นอน เพียงแค่รอจังหวะ และเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น การขับเคลื่อนทางการเมืองในลักษณะดึงบ้านใหญ่เข้าเป็นพวกเช่นนี้ อาจดูเป็นวิธีการโบราณและไม่น่าจะต่อกรกับการเมืองแบบใหม่ในรูปแบบของก้าวไกลได้ แต่ในระยะเวลาที่เหลืออีก 3 ปี ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร
การได้คนการเมืองที่มีประสบการณ์ ชำนาญพื้นที่ มีฐานเสียงเติมเต็มในส่วนที่พรรคยังขาดถือเป็นการสร้างความเข้มแข็ง ส่วนการปรับตัวเพื่อให้รับกับสถานการณ์เฉพาะหน้าต้องไปว่ากันหน้างาน ณ เวลานั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนตัวผู้สมัครเพื่อหวังผลนั้น เป็นสิ่งที่เคยทำกันมาแล้วในอดีต บทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ด้วยความมั่นใจในสีเสื้อของพรรคประชานิยม ถือเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง ที่ทำให้หลายพื้นที่ซึ่งไม่คิดว่าจะแพ้ ต้องพบกับความปราชัยอย่างหมดรูป
หลังจากได้ประเมินความพ่ายแพ้มาแล้ว ทั้งจากบทสรุปในแง่ความเลินเล่อ ไม่ยอมลงพื้นที่พบปะประชาชนของผู้สมัคร และการถูกโจมตีจากพรรคการเมืองคู่แข่งที่เคยคิดว่าเป็นพันธมิตร ทำให้มีการวางแผนกันอย่างรัดกุม จัดวางรูปแบบการทำงาน ขับเคลื่อนพรรคทั้งในลักษณะของการสร้างความเปลี่ยนแปลงภายใต้การนำของคนรุ่นใหม่ด้วยการให้ แพทองธาร ชินวัตร มาเป็นผู้นำ คู่ขนานกับการใช้พลังของบ้านใหญ่ที่คิดว่ายังมีบารมีหลงเหลือในพื้นที่ คู่แข่งเดินเกมแบบนี้จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ก้าวไกล ต้องทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้นโยบายเรือธงของเพื่อไทยได้เดินหน้า เพราะรู้ดีว่าถ้าพยัคฆ์ได้ติดปีกแล้วเป็นอย่างไร
อรชุน