DITTO วิ่ง 3% ลุ้นงบไตรมาส 2 “ออลไทม์ไฮ” จ่อรับเงินสดครึ่งปีหลังกว่าพันล้าน

DITTO จ่อทุบสถิติสูงสุดในไตรมาส 2/67 ครึ่งปีหลังเงินสดไหลเข้าอีก 1,000 ล้านบาท จากโครงการสวนสัตว์แห่งใหม่ระยะที่ 1 ขณะที่แบ็กล็อกในมือล้น 5 พันล้านบาท และมีเงินสดในมือ 500-600 ล้าน พร้อมลุยโครงการเพิ่ม ด้าน “บล.บัวหลวง” มองหลังดิทโต้จับมือเนต์เบย์ หนุนรายได้งานภาครัฐโตกระฉูด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ก.ค.67) ราคาหุ้น บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO ณ เวลา 10:19 น. อยู่ที่ระดับ 15.30 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 2.68% สูงสุดที่ระดับ 15.40 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 15.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 11.91 ล้านบาท

นายชัยทัด กุลโชควณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน DITTO เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่าแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/67 คาดการณ์จะออกมาทำสถิติสูงสุด หรือ All time high ขณะที่ในครึ่งปีหลังจะมีเงินรายได้จากส่วนของโครงการสวนสัตว์แห่งใหม่ระยะที่ 1 เข้ามาประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานในปีนี้ออกมาดีกว่าในปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

ส่วนการออกโทเคนคาร์บอนเครดิตป่าชายเลนนั้น คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ หลังจากได้ทยอยขึ้นทะเบียนป่าชายเลนต่อองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก. แล้ว และจะครบ 20,000 ไร่ ภายใน 2-3 เดือนนี้ ขณะที่พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเมินว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีภายในเดือนสิงหาคม หรือกันยายน ก่อนนำเข้าสภาในขั้นตอนต่อไป

โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มีความร่วมมือกับบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM ในการตรวจวัดค่าคาร์บอนป่าชายเลน ซึ่งไทยคมคาดว่าจะได้ใบอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ภายในเร็ว ๆ นี้ และถือว่าไทยคมเป็นรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาต โดยนำเทคโนโลยีดาวเทียมเข้ามาช่วยตรวจวัดคาร์บอนเครดิต

นายชัยทัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน DITTO มีงานในมือ หรือ backlog อยู่ประมาณ 5 พันล้านบาท มีกระแสเงินสด 500-600 ล้านบาท ที่พร้อมจะมาใช้ในการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ของบริษัท อาทิ โครงการจัดการสร้างพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้ไม้มีค่า และโครงการสวนสัตว์แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมดตามกำหนดไม่มีส่วนไหนที่ล่าช้า ขณะที่บริษัทไม่มีหนี้ที่กู้จากสถาบันการเงินเลย

สำหรับความร่วมมือระหว่าง DITTO กับบริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY เป็นไปด้วยดี หลังจากที่ดิทโต้เข้าไปถือหุ้นใหญ่ คาดว่าจะมีความชัดเจนในการร่วมมือประมูลงานใหม่ได้ภายในเร็ว ๆ นี้ ซึ่ง 2 ทีมงานได้ร่วมทำงานกันอยู่

สอดคล้องกับบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS ที่ระบุว่า การดำเนินงานของ DITTO ในส่วนของธุรกิจระบบจัดการเอกสารแบบครบวงจรในรูปแบบดิจิทัล ภายหลังเข้าถือหุ้นใหญ่ NETBAY ได้นำ Solution Service จาก 2 ทีมมาช่วยพัฒนาสินค้าร่วมกัน ทำให้คาดว่าหลังจากนี้ไปจะมีรายได้ในโครงการความร่วมมือต่างๆมากขึ้น โดยมีการใช้ทีมขายร่วมกัน เกิดรายได้แบบ Recurring (พอร์ตรายได้จากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ) และขยายตลาดได้มากขึ้น

จากนโยบาย Cloud first Policy ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐต้องใช้ระบบคลาวด์มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา DITTO เข้าไปร่วมในส่วน Platform on Cloud ขณะที่ก่อนหน้านี้ NETBAY กับ DITTO จะรับงานต่างกัน คือ DITTO เป็นเรื่องภายในองค์กร แต่ NETBAY เป็นการเชื่อมต่อภายนอก ซึ่งในอนาคตทั้งสองบริษัทจะนำจุดแข็งดังกล่าวมา synergy ร่วมกัน เพื่อขยายงานให้มากขึ้น

ส่วนโครงการสร้างพิพิธภัณฑ์ให้ความรู้ไม้มีค่า มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างก่อสร้างในส่วนของตัวอาคาร คาดว่า DITTO จะรับรู้รายได้ปี 2568

บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ระบุเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันโครงการปลูกป่าชายเลนของดิทโต้ ได้ทยอยขึ้นทะเบียน T-ver Premium แล้ว 2,000 ไร่ จากทั้งหมด 20,000 ไร่ ซึ่งบางส่วนจะขึ้นทะเบียน Premium และบางส่วนขึ้นทะเบียน T-ver ภายในเดือน ส.ค. 2567 จากนั้นจะเสนอคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เพื่อขอออก Tokenize และจะสรุปปริมาณ Carbon Credit ว่าได้เท่าไหร่ จากนั้นแปลงเป็นเหรียญ และเปิดขายในไตรมาส 4/2567

ในส่วนของพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาษีคาร์บอน หรือ Carbon Tax คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2568 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดดีมานด์จากกลุ่มที่ใช้สิทธิปล่อยคาร์บอนเกินกว่าโควตา และต้องเสียค่าปรับ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมาซื้อ Carbon credit ในตลาดฯ ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ปัจจุบันเก็บ 1 ตันคาร์บอน อยู่ที่ 25 เหรียญสิงคโปร์ และจะขึ้นเป็น 45 เหรียญสิงคโปร์ และในอนาคตจะขึ้นเป็น 50-80 เหรียญสิงคโปร์ ซึ่งในไทยก็น่าจะคล้ายกัน

นอกจากนี้ DITTO ได้เปิดเผยความคืบหน้าแผนงานในอนาคต โดยในส่วนของงาน Service ในพื้นที่กทม.และพัทยา ขณะนี้ยังไม่มีแผน เพราะส่วนใหญ่จะเน้นต่างจังหวัดมากกว่า ส่วนงานกล้องติดตัวตำรวจ เนื่องจากกฎหมายเริ่มบังคับให้เจ้าหน้าที่ติดกล้องเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ และมีการบันทึกข้อมูลเหมือนกล้องวงจรปิดเพื่อสามารถนำไปวิเคราะห์ข้อมูลได้ โดยเริ่มจากทำการเชื่อมข้อมูลของศาล และสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกันได้ อีกทั้งจะเพิ่มโอกาสที่บริษัทจะก้าวไปคือเรื่องของ Data ซึ่งบริษัทมี foot print อยู่แล้ว ซึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทเข้าไปรับงานของกรมตำรวจ และถือเป็นส่วนหนึ่งที่ให้บริษัทสามารถเข้าไปขยายจุดแข็งที่มีอยู่ และสามารถต่อยอดธุรกิจอื่น ๆ ได้ในอนาคต

สำหรับงานกล้องติดตัวตำรวจที่ทำให้รายได้เติบโตมากในไตรมาส 1/2567 และในอนาคตแม้ยังไม่มีเข้ามาเพิ่มเติม แต่มองว่างานดังกล่าวจะช่วยต่อยอดงานในอนาคต โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับศาล ซึ่งข้อมูลตำรวจต้องมาเชื่อมต่อกัน และทางศาลได้ปรับระบบเป็นคำฟ้องอิเล็กทรอนิกส์สำหรับประชาชน (e-Filing) แล้ว ขณะที่ทางอัยการก็พร้อมมาเชื่อมโยงข้อมูลแล้ว มองภาพใหญ่ คือ สำนวนคดีจะต้องปรับเป็น Digital และมีการเชื่อมโยงกันศาล ตำรวจ และอัยการ ต้องเชื่อมกัน ซึ่งขณะนี้รอแค่งบประมาณภาครัฐเท่านั้น โดยบริษัทยังเน้นที่งาน Data Recurring บวกกับได้พันธมิตรอย่าง NETBAY และ TEAMG มาร่วมงาน นำจุดแข็งของแต่ละบริษัทมาช่วยเสริมกันได้อย่างมาก

Back to top button