3 หุ้นโรงไฟฟ้าบวก รับกกพ. แถลงพรุ่งนี้! จ่อขึ้นค่า Ft ก.ย.-ธ.ค. รอบใหม่อีก 20-40 สต.
3 หุ้นโรงไฟฟ้า BGRIM-GPSC-GULF ปิดบวก! รับ “พูลพัฒน์” ตั้งโต๊ะแถลงรายละเอียด 12 ก.ค.นี้ เตรียมปรับขึ้นค่า Ft งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค. รอบใหม่อีก 20-40 สตางค์ จากค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (11 ก.ค.67) ปิดตลาดเย็นวันนี้ นำโดย บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC อยู่ที่ระดับ 42.25 บาท บวก 1.75 บาท หรือ 4.32% สูงสุดที่ระดับ 42.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 40.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 472.83 ล้านบาท
บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM อยู่ที่ระดับ 22.90 บาท บวก 1.30 บาท หรือ 6.02% สูงสุดที่ระดับ 23.20 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 21.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 745.03 ล้านบาท
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF อยู่ที่ระดับ 41.75 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.21% สูงสุดที่ระดับ 42.00 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 41.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 529.78 ล้านบาท
สำหรับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา ตอบรับข่าว นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ผลการประชุมวันที่ 10 ก.ค.67 นี้ หนึ่งในวาระสำคัญคือการพิจารณาอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดใหม่รอบเดือน ก.ย.-ธ.ค.67 จากค่าไฟฟ้างวดปัจจุบันอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท จะมีการแถลงรายละเอียดวันศุกร์ที่ 12 ก.ค.67
โดยแหล่งข่าวจากกกพ. เปิดเผยว่า มีโอกาสสูงที่กกพ.จะปรับขึ้นค่าเอฟที เนื่องจากมีภาระต้องทยอยชำระหนี้คืนให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 98,000 ล้านบาท ซึ่งกฟผ.มีภาระต้องจ่ายค่าดอกเบี้ย และยังมีหนี้ค่าเชื้อเพลิงที่ต้องทยอยคืนให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ที่ได้รับภาระไปงวดก่อนหน้านี้ด้วย
ด้านนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้นที่คาดจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการปรับขึ้นค่าเอฟทีรอบนี้ ได้แก่ BGRIM และ GPSC โดยประเมินการปรับขึ้นค่า Ft ทุก ๆ 10 สตางค์ต่อหน่วย จะส่งให้ผลกำไรของ BGRIM เพิ่มขึ้น 3% และกำไรของ GPSC เพิ่มขึ้น 4%
โดยปัจจุบัน BGRIM มีลูกค้ากลุ่มนิคมอุตสาหกรรมสัดส่วน 25% และ GPSC มีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มนี้ประมาณ 30% โดยราคาหุ้นจีพีเอสซีจะผันผวนต่อค่าไฟฟ้ามากกว่าบีกริม แต่อ่อนไหวต่อราคาก๊าซน้อยกว่า เนื่องจากมีโรงไฟฟ้า SPP บางแห่งที่ยังใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
“มาร์จิ้นของบีกริมกับ GPSC จะเพิ่มขึ้น หากมีการปรับเพิ่มค่าเอฟที เนื่องจากฝั่งต้นทุนราคาก๊าซฯ ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานของทั้งสองบริษัทดีขึ้นต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงาน BGRIM ไตรมาส 2/2567 จะมีกำไรปกติที่ 690 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ GPSC คาดว่าจะมีกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 260% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสก่อนหน้า
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าทุก 10 สตางค์ต่อหน่วย จะส่งผลต่อกำไรของ BGRIM เพิ่มขึ้น 4% ให้ราคาเป้าหมาย 30 บาท และกำไร GPSC เพิ่มขึ้น 3% ราคาเป้าหมาย 57 บาท โดยแนะนำ “ซื้อ” จากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 2 และ 3 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลดลง ส่วนไตรมาส 4/67 จะดีขึ้นจากค่าเอฟทีที่ปรับเพิ่มขึ้น
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองจิตวิทยาบวกต่อหุ้นโรงไฟฟ้าที่รับรู้ความเสี่ยงต้นทุนก๊าซฯ เพิ่มขึ้นระยะสั้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานลูกค้าอุตสาหกรรมสูง ๆ อาทิ GPSC, BGRIM ไปแล้ว ขณะที่ยังไม่รับรู้โอกาสได้รับภาพบวกค่า Ft ปรับเพิ่มขึ้นช่วยชดเชย
เบื้องต้นนักวิเคราะห์ประเมินทุกๆ 1 สตางค์ของค่า Ft ที่ปรับขึ้น จะเพิ่มกำไรให้กับ BGRIM และ GPSC ประมาณ 1.4% และ 1.1% ตามลำดับ ทั้งนี้ผลบวกที่จะเกิดขึ้นจริงต้องติดตามความชัดเจนอีกครั้ง มองกลยุทธ์เป็นการเก็งกำไร GPSC-BGRIM ส่วนการลงทุนเน้น GULF
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด แนะนำ “ซื้อ” BGRIM ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 30 บาท แนวโน้มค่าไฟฟ้ารอบเดือน ก.ย.-ธ.ค. มีโอกาสปรับขึ้นราว 20-40 สตางค์ จากค่าไฟฟ้าปัจจุบันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย โดยจะมีการประชุมบอร์ด 10 ก.ค.นี้ มีลุ้นเป็นบวกต่อหุ้นโรงไฟฟ้าประเภท SPP ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/67 คาดเติบโตเด่นจากไตรมาสก่อนหน้า จากราคาก๊าซฯ ที่ชะลอลงจากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน คาดลดลงเล็กน้อยจากฐานราคาค่าไฟฟ้าไตรมาส 2/66 อยู่ในระดับสูง