SET มี Upside จำกัด รอความชัดเจนปัจจัยในประเทศเป็นหลัก
InnovestX มองว่า สัญญาณเงินเฟ้อและตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ที่ชะลอลงเห็นเด่นชัดขึ้น และสอดคล้องกับท่าทีของประธาน Fed
InnovestX มองว่าสัญญาณเงินเฟ้อและตลาดแรงงานในสหรัฐฯ ที่ชะลอลงเห็นเด่นชัดขึ้น และสอดคล้องกับท่าทีของประธาน Fed โดยเงินเฟ้อ Core PCE ที่ชะลอลงมาอยู่ที่ 2.6% ขณะที่อัตราว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ชะลอตัวมากกว่าที่ Fed staff คาดการณ์ไว้ในการประชุมในเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ทำให้ประธาน Fed ให้ความสำคัญกับตลาดแรงงานที่ชะลอลงมากขึ้น InnovestX จึงยังเชื่อว่า Fed จะลดดอกเบี้ยครั้งแรกได้ในเดือน ก.ย. ทั้งนี้ InnovestX มองว่า ต้องจับตาการประชุม FOMC วันที่ 30-31 นี้ และการประชุม Jackson Hole ช่วงเดือน ส.ค. อย่างใกล้ชิด
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และยุโรป (โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส) ลดลงจากการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น โดยในฝรั่งเศส พรรคฝ่ายซ้ายและกลางชนะการเลือกตั้ง ขณะที่พรรคขวาจัดของเลอแปงได้เป็นอันดับ 3 ขณะที่ในอังกฤษ พรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายกลางซ้ายชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ทำให้ความเสี่ยงด้านการคลังระยะสั้นลดลง ส่วนในสหรัฐฯ แนวโน้มการลดดอกเบี้ยที่เร็วขึ้นทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรลดลงเช่นกัน แต่ในระยะต่อไป ความเสี่ยงทางการคลังที่มากขึ้น ทั้งจากรายจ่ายภาครัฐที่มากขึ้น ขณะที่ไม่มีแผนชัดเจนในการเพิ่มรายได้ ทำให้การขาดดุลการคลังมีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (โดยเฉพาะระยะยาว) ลดลงได้ยากขึ้นแม้ว่า ธ. กลางจะลดดอกเบี้ยก็ตาม
ในส่วนเงินเฟ้อของจีนที่ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยู่ในเทศกาลช้อปปิ้งประจำปี “618” ทำให้ผู้ประกอบการทำมาตรการส่งเสริมการขายอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับภาวะเงินฝืดจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ ทั้งนี้ ต้องจับตาการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์วาระที่ 3 (Third Plenum) ในวันที่ 15-18 นี้ ว่าทางการจะออกมาตรการการคลังใดเพิ่มเติมหรือไม่
ส่วนของตลาดหุ้นไทย InnovestX มองช่วงสั้น SET ยังเปราะบางและมี Upside จำกัด เนื่องจากปัจจัยการเมืองในประเทศยังยืดเยื้อ (ศาล รธน. พิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 17 ก.ค. และคดียื่นวินิจฉัยคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 ก.ค.) และรอความชัดเจนของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (ข้อสรุปแหล่งที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้) ส่วนปัจจัยต่างประเทศคาดจะได้แรงหนุนจากแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/67 ของ บจ. ในสหรัฐฯ ที่น่าจะยังแข็งแกร่ง ภายใต้เศรษฐกิจจีนที่ยังมีแนวโน้มอ่อนแอและเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลง รวมถึงท่าทีของ ECB ที่คาดจะยังคงดอกเบี้ย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้
1.หุ้นที่คาดไตรมาส 2/67 กำไรจะยังสามารถเติบโตทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง เลือก MINT, BEM, OSP, TU, KCE และ CPF
2.หุ้นที่คาดจะได้อานิสงส์ Cover Short หลัง ตลท. เริ่มใช้มาตรการ Uptick ตั้งแต่ 1 ก.ค. 67 และเป็นหุ้นพื้นฐานดีมี ESG Rating ระดับ A-AAA เลือก HANA, TOP, BEM, MINT, OSP, BBL, SCGP และ AOT
3.หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากแผนปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ โดยขยายวงเงินเป็น 3 แสนบาทและลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เลือก ADVANC, CPALL, BDMS, BBL และ GULF
4.ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว แม้ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังไม่กระจายออกในวงกว้าง แต่ยังมีการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง และโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในรัสเซียกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินกรอบราคา 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสำหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP
สุกิจ อุดมศิริกุล