“ทรัมป์” หวนคืน “ทำเนียบขาว” ไทยเสี่ยงโดนลูกหลง ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาครั้งไหนสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับทั้งโลกได้เท่ากับการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงในปลายปีนี้ เพราะคนหนึ่ง คือ “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกัน กลับมาท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกรอบหนึ่ง และ ส่อแววว่าจะชนะเลือกตั้ง
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะส่งผลกระทบต่อโลกในหลากหลายมิติ ทั้งเศรษฐกิจ ,การค้า ,ดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ รวมถึง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) เนื่องด้วยสหรัฐเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่เบอร์ 1 ของโลกในแทบทุกด้าน ล่าสุดในการดีเบตครั้งที่ 1 ของผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน มีคะแนนนิยมนำ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด คือ การลอบยิงโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อการเมืองสหรัฐฯ และ ผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เพราะ นักวิชาการ หลายคน ประเมินว่า เหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ได้ทำให้ทรัมป์ อ่อนแอ หรือ คะแนนนิยม ลดลง เพราะ ภายหลังที่ทรัมป์ถูกยิงที่ใบหู แล้วล้มลง เมื่อลุกขึ้นได้ “ ทรัมป์ได้หันไป ยกมือชูกำปั้นให้ประชาชน ” ภาษากายตรงนี้ ทำให้ทรัมป์ ได้ใจประชาชน
เมื่อสถานการณ์โดยรวม เป็นผลบวกกับทรัมป์ มากกว่า ไบเดน จึงนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “ หากทรัมป์กลับมานั่งในทำเนียบขาว เศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร ? ”
การกลับมาของทรัมป์น่าจะมาพร้อมกับนโยบาย American First อาจทำให้เกิดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการค้าโลกจะมีความยากลำบากมากขึ้น ด้วยการตั้งกำแพงภาษี สกัดสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมและสร้างงานในประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศต่าง ๆ ที่เคยได้รับประโยชน์จากการลงทุนของสหรัฐฯและบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เผชิญการถอนการลงทุนออก โดยเฉพาะบริษัทในสาขาอุตสาหกรรมที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญที่ปัจจุบันยังตั้งอยู่ในจีน และบริษัทที่ได้ขยาย/ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมาที่ภูมิภาคอาเซียน อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ก่อนหน้านี้ อาจมีบางส่วนย้ายกลับสหรัฐฯ หรือ ประเทศในภูมิภาคอเมริกาเหนือ เพื่อลดความเสี่ยงทางการค้าแผนนโยบายที่ต้องเตรียมรับมือผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้พูดคุยกับ รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ถึงสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นหาก โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดี รศ.ดร.อัทธ์ ระบุว่า หากทรัมป์ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดี อุตสาหกรรมการผลิตที่เชื่อมโยงกับสหรัฐฯ มีความเสี่ยง จะได้รับผลกระทบใน 2 เรื่อ งคือ 1.ถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม และ 2.ฐานการผลิตจีนที่ย้ายมาไทยและอาเซียนเพื่อส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ จะถูกตรวจสอบการทุ่มตลาด เสี่ยงถูกเก็บภาษีเพิ่ม อุตสาหกรรม รวมถึง การค้าไทยกับสหรัฐจะสะทือน ขณะที่ทรัมป์มีนโยบายชาตินิยม และ ต่อต้านพหุภาคี โดยยกเลิกเข้าร่วม WTO, TPP, UNESCO, “Iran Nuclear Agreement” และ “Paris Agreement”
ส่วนสงครามการค้าระหว่างจีน – สหรัฐฯ นั้น รศ.ดร.อัทธ์ มองว่า สงครามการค้ากับจีนจะทวีความรุนแรงและเข้มข้นมากขึ้น เพราะ สงครามการค้าเริ่มต้นในสมัยทรัมป์ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อประเทศไทย เพราะ เวลานี้ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทย เพื่อทำตลาดในประเทศและเพื่อส่งออกหลายค่าย ขณะที่รถอีวีจากฐานผลิตในจีนเวลานี้ถูกสหรัฐขึ้นภาษีจาก 27.5% เป็น 102.5% อนาคตสินค้ารถอีวีค่ายจีนที่ผลิตในไทยมีความเสี่ยงจะถูกขึ้นภาษี หากส่งออกไปขายในสหรัฐในราคาถูก รวมถึงในสินค้าอื่น ๆ ที่จีนตั้งฐานการผลิตในไทยและในประเทศอื่น ๆ
หากเราย้อนไปดูข้อมูลช่วงที่ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่ง ประธานาธิบดี จะพบว่า ช่วงที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ได้เปิดศึกการค้ากับจีน ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจีน เป็นมูลค่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งประเมินได้ว่าการเพิ่มภาษีดังกล่าว สร้างภาระให้กับผู้บริโภคอเมริกันเพิ่มขึ้น 1.95 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากอเมริกาเช่นกัน ต่อมาในรัฐบาลโจ ไบเดน ก็ยังคงสานต่อจุดยืนแข็งกร้าวกับจีนด้วยการคงอัตราภาษีศุลกากรที่เก็บจากสินค้าจีนไว้ตามเดิม
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ลอบยิง โดนัลด์ ทรัมป์ ในทางการเมือง มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความรุนแรงทางการเมือง แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสหรัฐฯ เห็นได้ชัดจากบรรดา บุคคลสำคัญทั้งในสหรัฐฯ และ นานาประเทศ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อเหตุการณ์นี้ ตัวอย่างเช่น
“ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ” ทวีตว่า “เรากำลังสวดภาวนาเพื่อเขา ครอบครัวของเขา และทุกคนที่ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงได้รับผลกระทบจากเหตุกราดยิงที่ไร้สติครั้งนี้”
ทางด้าน “ บารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ” ระบุในแถลงการณ์ว่า “ไม่มีที่สำหรับความรุนแรงทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของเรา แม้ว่าเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เราทุกคนควรโล่งใจที่อดีตประธานาธิบดี ทรัมป์ ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส”
ส่วน “ จอร์จ ดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ” กล่าวประณามการโจมตีว่า “ เป็นการกระทำที่ขี้ขลาด ขอบคุณที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ปลอดภัยหลังจากการโจมตีพุ่งเป้าเอาชีวิตของเขาอย่างขี้ขลาด และเราขอยกย่องเจ้าหน้าที่ชายหญิงของหน่วยอารักขา สำหรับการตอบสนองที่รวดเร็ว”
สำหรับอาการบาดเจ็บของทรัมป์ ล่าสุด มีรายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศว่า “ ทรัมป์ อยู่ระหว่างการพักฟื้น ”
ขณะที่ กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ ได้มีการรวมตัวอยู่ริมถนนในเมืองเบดมินสเตอร์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ เพื่อแสดงพลังสนับสนุนทรัมป์ โดยโบกธงอเมริกันและธงของทรัมป์ที่เขียนว่า “TRUMP 2024 : TAKE AMERICA BACK” ซึ่งมีเสียงแตรดังขึ้นเป็นระยะ ๆ จากผู้สนับสนุนทรัมป์ที่ขับรถผ่านไปมา
ส่วนบริเวณหน้าอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในนครนิวยอร์ก มีกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ออกมาแสดงพลังสนับสนุนและแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับทรัมป์เช่นกัน ทั้งโบกธง เปิดเพลง บีบแตรและส่งเสียงเชียร์ให้อดีตผู้นำสหรัฐฯ โดยหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าว ตำรวจสหรัฐฯ ระดมกำลังรักษาความปลอดภัยและตรึงกำลังบริเวณด้านหน้าทางเข้าอาคารแห่งนี้ เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นอีก
ส่วนทางด้าน เมลาเนีย ทรัมป์ ภรรยาของทรัมป์ เล่าความรู้สึกผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “ตอนที่เห็นทรัมป์ถูกยิง เธอตระหนักว่าชีวิตของเธอและบาร์รอน ลูกชาย จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องสามี ”
นอกจากนี้ เมลาเนีย ได้แสดงความเสียใจต่อ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ชาวอเมริกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้ก้าวข้ามความเกลียดชัง
ในส่วนของไทยเรา นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “ ตนเป็นห่วงการโจมตีสะเทือนขวัญในการหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เราขอประณามการยิงดังกล่าวและความรุนแรงทุกรูปแบบ ตนขอให้อดีตประธานาธิบดีปลอดภัยและฟื้นตัวโดยเร็ว ขอส่งความระลึกถึงและสวดภาวนาให้กับครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากการโจมตีนี้ทุกคน ”