เก็ง 8 หุ้น จ่อรับประโยชน์นโยบาย “ทรัมป์”

โบรกคัด 8 หุ้นเด่น จ่อรับประโยชน์นโยบาย “โดนัลด์ ทรัมป์” ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า หนุนเงินบาทแข็งค่าขึ้น พ่วงต่างชาติย้ายฐานการผลิต จากแนวโน้มการกีดกันทางการค้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกลอบยิงระหว่างการปราศรัยหาเสียงในเมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อวันเสาร์ (13 ก.ค. 67) ที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐ โดยทรัมป์ถูกยิงที่หูด้านขวาและทำให้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ผู้ที่เข้าร่วมฟังการปราศรัยเสียชีวิต 1 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย ส่วนมือปืนได้ถูกหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐยิงเสียชีวิตหลังก่อเหตุทันที

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้คนทั่วโลกประณามสถานการณ์รุนแรงทางการเมืองในสหรัฐ นอกจากนั้นการลอบสังหารทรัมป์ยังส่งผลให้เกิดความสั่นคลอนในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในสหรัฐฯ ด้านนักเคราะห์บางส่วนคาดการณ์ว่า ความเห็นอกเห็นใจและความโกรธแค้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ลอบสังหารในครั้งนี้ อาจจะช่วยเพิ่มคะแนนสนับสนุนนายทรัมป์ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับการโหวตให้เป็นตัวแทนพรรค Republican เพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ (15 ก.ค. 67) ว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกคนร้ายลอบยิงในระหว่างการปราศรัยหาเสียงเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้โพลคะแนนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยล่าสุดอ้างอิงข้อมูลจาก The Economist พรรค Republican ได้คะแนนความนิยม 46 คะแนน นำพรรค Democratic ที่ได้ 44 คะแนน ซึ่งก่อนหน้านี้คะแนนของทั้ง 2 พรรคอยู่ใกล้เคียงกัน

โดยหากผลโพลข้างต้นมีความแม่นยำ และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในวันที่ 17 พ.ย. 67 ผลออกมาว่าพรรค Republican ชนะการเลือกตั้ง นักลงทุนอาจจะต้องรับมือผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาทิ การลดภาษีเงินได้, สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน, การเก็บภาษีสินค้านำเข้า 10% จากทั่วโลก, ความมั่นคงและการป้องกันประเทศ, สนับสนุนพลังงานเก่า (ถ่านหิน) และอื่นๆ ซึ่งหากพิจารณาจากผลตอบแทนสินทรัพย์ต่างๆ ในช่วงปี 2017-2021 (พ.ศ.2560-2564) ที่โดนัลด์ ทรัมป์ บริหารสหรัฐฯ ซึ่งสินทรัพย์ที่ปรับตัวได้ดี ได้แก่ ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI Index) โดยเพิ่มขึ้น 97.60%, ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 57.30% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 69.60% และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า 10.20% ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า 15.30%

ทั้งนี้ หุ้นไทยที่คาดว่าจะได้รับ Sentiment เชิงบวกจากประเด็นดังกล่าว คือ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ TTA, บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL, บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU และบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เป็นต้น ส่วนที่หุ้นที่คาดว่าจะได้ Sentiment เชิงลบ คือ กลุ่มส่งออก และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ประเมินกรณีที่โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกลอบยิง รวมถึงอากัปกิริยาหลังจากการถูกยิงนั้น ส่งผลบวกต่อคะแนนนิยมให้ปรับสูงขึ้น ซึ่งจะยิ่งทำให้ความคาดหวังต่อการก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ มีสูงขึ้น ไม่นับรวมกับคะแนนนิยมของประธานาธิบดีไบเดนที่ตกลงมาก่อนหน้าการ Debate ครั้งล่าสุด ซึ่งจะทำให้นโยบายหลักของทรัมป์ มีความเป็นไปได้มากขึ้นไปอีก อาทิ การใช้นโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย, การตัดลดภาษีนิติบุคคล, การตั้งกําแพงภาษีนําเข้าในอัตราสูงขึ้น และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยสหรัฐฯ ในอัตราเร่ง

โดยคาดการณ์ว่าสินทรัพย์และกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียงของทรัมป์ จะได้รับ Sentiment เขิงบวกเพิ่มเติมในระยะสั้น อาทิเช่น เงิน USD และกลุ่มพลังงาน Conventional ส่วนเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับตัวชันขึ้นเช่นกัน (Steepening) ในทางกลับกันกลุ่มที่อาจเผชิญแรงขายในระยะสั้นได้แก่กลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากแนวนโยบายของทางพรรคเดโมแครต อาทิเช่น กลุ่มพลังงานทดแทน และอาจรวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเป็นผลมาจากแนวโน้ม Bond Yield ระยะยาวที่อาจทรงตัวสูงต่อไป

สำหรับฝั่งของหุ้นไทยนั้น หากแนวโน้มการกีดกันการค้ามีเพิ่มสูงขึ้นจริง มีโอกาสที่ตลาดจะเพิ่มการเก็งกำไรในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการโยกย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาได้ ซึ่งคงหนีไม่พ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อาทิ AMATA และ WHA เป็นต้น

Back to top button