TTB รายได้ดอกเบี้ยเพิ่ม! ดันกำไร Q2 โต 17% แตะ 5.3 พันล้านบาท

TTB กำไรไตรมาส 2/67 โต 17% แตะ 5.35 พันล้าน จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.56 พันล้านบาท ตามรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มส่วนงวด 6 เดือนแรกกำไรแตะ 1.06 หมื่นล้านบาท โต 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.86 พันล้านบาท


ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 และงวดครึ่งแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ ดังนี้

สำหรับไตรมาส 2/67ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 5.35 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4.56 พันล้านบาท โดยรายได้ดอกเบี้ยในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 21,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับอัตราผลตอบแทนของสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตามแผนการปรับสัดส่วนสินเชื่อไปยังสินเชื่อรายย่อยที่ให้ผลตอบแทนสูง ยังคงช่วยหนุนการเติบโตของรายได้เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 7,210 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากกลยุทธ์การปรับปรุงค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการมีวินัยด้านค่าใช้จ่ายซึ่งฝังแน่นในวิถีการดำเนินธุรกิจเพื่อให้การบริหารค่าใช้จ่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากกลยุทธ์การเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวังและเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่ออย่างเข้มงวด ธนาคารยังคงปรับลดความเสี่ยงของพอร์ตสินเชื่อเชิงรุกอย่างต่อเนื่องผ่านการขายและตัดหนี้สงสัยจะสูญเพื่อให้คุณภาพ ของพอร์ตสินเชื่อยังคงดีอยู่ท่ามกลางการพื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างช้า ๆ โดย ณ เดือนมิถุนายน 2567 สินเชื่อชั้นที่ 3 อยู่ที่ 40,105 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2566 และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.64 ยังอยู่ในกรอบเป้าหมายที่วางไว้

อีกทัั้งธนาคารยังคงเพิ่มกันชนในการรองรับความเสี่ยงผ่านการตั้งสำรองฯพิเศษเป็นจำนวน 1,087 ล้านบาท เพื่อรองรับความเสี่ยงด้านลบในอนาคตจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ในไตรมาส 2/67 ธนาคารตั้งสำรองฯรวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 5,281 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมสำรองพิเศษ ระดับสำรองฯปกติจะอยู่ที่ 4,194 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ 129 bps ซึ่งระดับสำรองฯปกตินั้นยังคงสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายของธนาคาร นอกจากนี้อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ร้อยละ 152

Back to top button