เช็กเงื่อนไขที่นี่ “คลัง” สรุปโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เริ่มลงทะเบียน 1 ส.ค.นี้

คลัง เปิดลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ต เริ่ม 1 ส.ค. 67 - 15 ก.ย. 67 ยังไม่ชัดจะเก็บภาษีเพิ่มร้านค้าที่ร่วมโครงการหรือไม่ รอ ครม. พิจารณา เห็นชอบรายละเอียด อีกรอบ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ( 24 ก.ค.67 ) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานแถลงข่าว รายละเอียดโครงการเงินดิจิทัลวอลเลต ร่วมด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

โดย นายพิชัย ระบุว่า การแจกเงินดิจิทัลวอลเลต เป็นการแจกเงิน เพื่อแก้วิกฤตทางเศรษฐกิจ และต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากถามว่า ทำไมโครงการดังกล่าว ถึงดำเนินการล่าช้า ไม่รวดเร็ว เมื่อเทียบกับ โครงการแจกเงินในรัฐบาลก่อนหน้า สาเหตุมาจาก เราต้องการให้เงินที่แจกถึงมือประชาชน เพราะฉะนั้นต้องมีการรวบรวมข้อมูล และ ประมาณการณ์ผู้ใช้สิทธิ์ ให้ข้อมูลนิ่งเสียก่อน จึงสามารถดำเนินโครงการได้

“ โครงการดิจิทัลวอลเลต จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบที่เราเรียกว่า พายุหมุนทางเศรษฐกิจ ทั้ง พายุหมุนระหว่างประชาชน กับ ร้านค้าขนาดเล็ก , พายุหมุนระหว่างร้านค้าขนาดเล็กกับ ร้านค้าขนาดใหญ่ , พายุหมุนระหว่าง ร้านค้าขนาดใหญ่ กับ ร้านค้าขนาดใหญ่ และผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบพายุหมุน ตามรูปแบบพายุแต่ละลูกที่กล่าวมา จะนำไปสู่การซื้อขายที่โปร่งใส กระตุ้นเศรษฐกิจทั่วประเทศ ”

นายพิชัย กล่าวทิ้งท้าย

ทางด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการดิจิทัลวอลเลต ใช้วงเงินทั้งสิ้น 450,000 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจาก งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2567  และ งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

สำหรับการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเลตนั้น นายจุลพันธ์ ระบุว่า การลงทะเบียนประชาชนกลุ่มที่มี Smart Phone เริ่มลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น ทางรัฐ ตั้งแต่ 1 ส.ค. 67 – 15 ก.ย. 67 ส่วนในกลุ่มประชาชนที่ไม่มี Smart Phone ให้ใช้บัตรประชาชนลงทะเบียน ได้ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.67 – 15 ต.ค.67  และเวลาใช้จ่ายเงินดิจิทัลวอลเลต ต้องใช้บัตรประชาชนเท่านั้น สำหรับ กลุ่มที่ไม่มี Smart Phone

ส่วนการลงทะเบียนร้านค้า เริ่มลงทะเบียนตั้งแต่ 1 ต.ค.67 ซึ่งกระทรวงการคลัง ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ดำเนินการ เบื้องต้นมีรายงานว่า มีร้านค้าแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการจำนวน 2 ล้าน ร้าน

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อไปอีกว่า ประชาชนสามารถใช้เงินดิจิทัลวอลเลต กับ ร้านค้าขนาดกลาง และ ขนาดย่อย เท่านั้น และต้องเป็นการใช้จ่ายแบบ Face to Face คือ ต้องไปใช้จ่ายที่หน้าร้านเท่านั้น ส่วนร้านค้าสามารถใช้จ่าย ในระดับร้านค้ากับร้านค้าด้วยกัน ไม่จำกัดขนาดร้านค้า และ ไม่จำเป็นต้องจ่ายแบบ Face to Face

นายจุลพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ได้มอบหมายให้ กระทรวงการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ นำเสนอรายละเอียดต่าง ๆของโครงการฯ ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม.) อีกรอบ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนกรกฎาคมนี้  สำหรับข้อกังวลที่ร้านค้า ตั้งคำถามว่า จะมีการเก็บภาษีเพิ่มหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องนี้ ที่แน่ชัด คือ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ จะไม่มีการนำส่งรานละเอียดให้ กรมสรรพากร

นอกจากนี้ นายจุลพันธ์ และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ได้ร่วมกันแถลงรายละเอียดของโครงการฯ เพิ่มเติม ดังนี้

  1. คุณสมบัติประชาชน ดังนี้

1.1 ประชากรที่มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน

1.2 สัญชาติไทย

1.3 มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน (15 กันยายน 2567)

1.4 ไม่เป็นผู้มีรายได้เกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566

1.5 ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันเกิน 500,000 บาท

โดยตรวจสอบข้อมูลเงินฝาก 6 ประเภท ได้แก่ (1) เงินฝากกระแสรายวัน (2) เงินฝากออมทรัพย์ (3) เงินฝากประจำ (4) บัตรเงินฝาก (5) ใบรับเงินฝาก และ (6) ผลิตภัณฑ์เงินฝากในชื่อเรียกอื่นใดที่มีลักษณะเดียวกับข้อ (1) – (5)

ทั้งนี้ เงินฝากดังกล่าวให้หมายความถึงเฉพาะเงินฝากที่อยู่ในรูปสกุลเงินบาทเท่านั้น และไม่รวมถึงเงินฝากในบัญชีร่วม และเป็นเงินฝาก ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567

1.6 ไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ

1.7 ไม่เป็นผู้ที่ถูกระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ

1.8 ไม่เป็นผู้ฝ่าฝืนเงื่อนไขของมาตรการ/โครงการอื่น ๆ ของรัฐ

 

  1. กำหนดการเข้าร่วมโครงการฯ

2.1 การลงทะเบียนประชาชนทั่วไป ระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567 จะดำเนินการผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” บนสมาร์ตโฟน โดยไม่มีการจำกัดจำนวนประชาชนที่จะเข้าร่วมใช้สิทธิ์ในโครงการฯ ดังนั้น ประชาชนทุกคนที่มาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและมีคุณสมบัติครบถ้วน ก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งรัฐบาลได้ประมาณการไว้จำนวน 45 – 50 ล้านคน

2.2 การลงทะเบียนประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟน ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการให้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ในระยะต่อไป โดยจะให้มีการลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านช่องทางที่กำหนด (ระหว่างวันที่ 16 กันยายน – 15 ตุลาคม 2567) ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติ สถานะบุคคล และที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน เช่นเดียวกับกลุ่มผู้มีสมาร์ตโฟน สำหรับส่วนของการใช้จ่ายนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ใช้สิทธิผ่านบัตรประจำตัวประชาชน แต่การใช้สิทธิซื้อสินค้าจากร้านค้าจะทำได้ในวงแคบกว่าการใช้สิทธิของประชาชนกลุ่มที่มีสมาร์ตโฟน ดังนั้น การลงทะเบียนผ่านสมาร์ตโฟนจะสามารถใช้งานได้สะดวกกว่า จึงแนะนำให้พยายามลงทะเบียนผ่านทางสมาร์ตโฟนก่อนเป็นอันดับแรก

2.3 การลงทะเบียนร้านค้า ในเบื้องต้นกำหนดไว้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งจะมีการแถลงข่าวเพิ่มเติมเพื่อแจ้งเกี่ยวกับคุณสมบัติของร้านค้า ช่องทางและวิธีการสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และเงื่อนไขอื่น ๆ ให้ทราบต่อไป

2.4 การใช้จ่ายในโครงการฯ มีรายละเอียด ดังนี้

1) เริ่มใช้จ่ายได้ภายในไตรมาส 4 ของปี 2567

2) เงื่อนไขการใช้จ่าย

2.1) การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า : ประชาชนจะสามารถใช้จ่ายได้กับร้านค้า

ขนาดเล็ก รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น และในการซื้อสินค้า หากประชาชนมีที่อยู่ตามทะเบียนบ้านในอำเภอใด ก็ต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าในอำเภอเดียวกันเท่านั้น และต้องซื้อขายแบบพบหน้า (Face to Face) ซึ่งคำว่าซื้อขายแบบพบหน้านี้ จะมีการตรวจสอบ (1) ที่อยู่ของร้านค้าตามที่ลงทะเบียนโครงการฯ (2) ที่อยู่ของประชาชนตามทะเบียนบ้านในขณะที่ลงทะเบียนโครงการฯ และ (3) พิกัดที่อยู่ของประชาชนในขณะที่ใช้จ่ายกับร้านค้าต้องอยู่ในเขตอำเภอเดียวกัน การชำระเงินจึงจะสมบูรณ์

2.2) การใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า : ร้านค้าทุกประเภทสามารถซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้ และไม่มีการกำหนดเงื่อนไขว่าต้องเป็นการซื้อขายแบบพบหน้า (Face to Face) จึงซื้อขายสินค้าระหว่างกันได้แม้จะอยู่ต่างพื้นที่

3) ประเภทสินค้า: สินค้าทุกประเภทสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ยกเว้นสินค้า Negative List ได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องมือสื่อสาร อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์อาจพิจารณาแก้ไขปรับปรุงรายการสินค้า Negative List เพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ การใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ จะไม่รวมถึงบริการต่าง ๆ

 

  1. ขั้นตอนการลงทะเบียนและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้

3.1 รูปแบบที่ 1 การยืนยันตัวตนและลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567

3.2 รูปแบบที่ 2 การยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” มาก่อนวันที่ 1 สิงหาคม 2567 แล้ว จึงค่อยมาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567 ซึ่งจะทำให้คงเหลือขั้นตอนลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป ที่ง่ายและรวดเร็วกว่า ดังนั้น จึงขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนเตรียมการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” และทำการยืนยันตัวตนล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ได้โดยตรงจากแอปพลิเคชัน “App Store” สำหรับระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) และแอปพลิเคชัน “Google Play” สำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) บนโทรศัพท์สมาร์ตโฟน

ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ นำเสนอรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการฯ ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบภายในเดือนกรกฎาคม 2567

Back to top button