ดักเก็บ 12 หุ้นหลบภัยตัวท้อป! รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้าผ่าน NVDR
โบรกแนะลงทุนหุ้น “บิ๊กแคป” ช่วงตลาดผันผวน รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้าผ่าน NVDR ชู “CPALL-BJC-SCC-ADVANC-KBANK-IVL-PTTGC-PTTEP-GULF-GPSC-BEM-PLANB” ชี้มีความผันผวนน้อยกว่า “หุ้นขนาดเล็ก”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวน และมีมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความกังวลในสถานการณ์ทางเมืองที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงสำคัญในเดือนสิงหาคม อาทิ กรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน เรื่องคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดีในวันที่ 14 ส.ค.นี้
นอกจากนั้นยังมีความกังวลในส่วนของบริษัทจดทะเบียน จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) มีมติกล่าวโทษกรรมการและผู้บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เนื่องมาจากการกระทำการทุจริตการจัดซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศหรือทุจริตการจัดซื้อโปรแกรมซอฟต์แวร์เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทฯ ทำให้มีการตั้งคำถามถึงความเชื่อมั่นของ EA ที่จะมีผลต่อสถานะทางการเงิน โดยเฉพาะการชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดของบริษัทฯ ในปีนี้
อีกทั้งในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 ที่ภาพรวมมีทั้งทรงตัวและแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยจากปัจจัยข้างต้นทำให้นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวออกมา ซึ่งส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง อย่างไรก็ตามในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาพบว่าหุ้นขนาดเล็กจะมีความผันผวนมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่
โดยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ 26 ก.ค. 67 ว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (26 มิ.ย.–25 ก.ค. 67) หุ้นขนาดเล็กมีความผันผวนมาก สังเกตได้จาก ดัชนี SSET ที่ปรับตัวลง 9.12% และ Mai ที่ปรับตัวลดลง 9.3% ต่างจากหุ้นขนาดใหญ่ อย่างSET50 ที่ทรงๆ ตัว โดยลดลงเพียงแค่ 0.69% แม้ปัจจัยในประเทศมีประเด็นกดดันหลากหลาย ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง ความกังวลในการ Rollover หุ้นกู้โดยเบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า หุ้นใหญ่มีเสถียรภาพมากกว่าหุ้นเล็กในช่วงนี้ เพราะหุ้นขนาดใหญ่ยังมีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลผ่าน NVDR เข้ามาหนุนในเดือนนี้กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท หล่อเลี้ยงหุ้นขนาดใหญ่ให้ทรงๆ ตัวอยู่ได้
ส่วนหุ้นขนาดเล็ก ถูกกดดันจากความกังวลประเด็น Force Sell, การหลีกเลี่ยงหุ้น P/E สูงในช่วงนี้ รวมถึงมาตการรัดเข็มขัดควบคุมการปล่อย Margin ที่เข้มงวดขึ้นกดดันให้หุ้นขนาดเล็กผันผวนในช่วงนี้ เพราะมูลค่าการใช้ Margin ในการซื้อขายหุ้น
ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในหุ้นขนาดเล็กจากดัชนี maiถึง 5.1% ใกล้เคียงกับหุ้นขนาดเล็กจากดัชนี SSET ที่ 5.2% ต่างกับหุ้นขนาดใหญ่จาก SET50 มีสัดส่วนการใช้Margin เพียง 0.7% เท่านั้น (ถ้าใช้ค่าเฉลี่ย % Marginเป็นเส้นตรงเท่ากับ 1.23%
แสดงว่าหุ้นขนาดเล็กใน SET50 เองส่วนใหญ่ก็ใช้ Margin ในสัดส่วนที่มากกว่าหุ้นตัวใหญ่) ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบจากการปรับพอร์ตในบัญชี Marginจำกัด
ดังนั้น เป้าหมายการลงทุนในช่วงนี้ จึงน่าจะเอนเอียงไปที่หุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งมีเสถียรภาพและผันผวนน้อยกว่าหุ้นขนาดเล็ก ทั้งจากสัดส่วนการถือครองผ่าน Margin ที่น้อยกว่า อีกทั้งยังมี Fund Flow ผ่าน NVDR เข้ามาหล่อเลี้ยงต่อเนื่อง ส่วนหุ้นแนะนำ คือ หุ้นขนาดใหญ่น่าลงทุนอาทิ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALLโดยราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา (26 มิ.ย.-25 ก.ค. 67) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.79%, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ปรับตัวลดลง 4.21%, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ปรับตัวลดลง 0.88%, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.69%, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.40%,
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ปรับตัวลดลง 6.49%, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.76%, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ปรับตัวลดลง 6.13% และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.23% ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าแม้ราคาหุ้นขนาดใหญ่ข้างต้นมีการปรับตัวที่ลดลง แต่เป็นการปรับตัวที่ลดลงน้อยกว่าดัชนี SSET และ mai อีกทั้งหุ้นบางตัวยังปรับตัวเพิ่มขึ้นชนะดัชนีดังกล่าวอีกด้วย
นอกจากนี้ยังแนะนำลงทุน บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ PLANB, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์สจำกัด (มหาชน) หรือ IVL และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC