1,330 จุด แล้วยังไงต่อ..?
หากดูจากเส้นกราฟ สัญญาณทางเทคนิค ฟังความเห็นของนักวิเคราะห์สายเทคนิคจากโบรกเกอร์หลายแห่ง ต่างมองตรงกับว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสที่จะขึ้นมาแตะที่ระดับ 1,330 จุดอีกครั้ง
หากดูจากเส้นกราฟ สัญญาณทางเทคนิค
ฟังความเห็นของนักวิเคราะห์สายเทคนิคจากโบรกเกอร์หลายแห่ง
ต่างมองตรงกันว่า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสที่จะขึ้นมาแตะที่ระดับ 1,330 จุดอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ (หลังร่วงต่ำกว่า 1,300 จุด) ได้ขึ้นมาที่บริเวณนี้ แล้วร่วงลงไปอีกทุกครั้ง
ทำให้ดัชนีเหมือนวนเวียนในอ่าง
หรืออยู่ในกรอบ 1,285-1,330 จุด นั่นแหละ
ประเด็นสำคัญที่เคยเขียนไว้ในคอลัมน์ฉบับเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
มีปัจจัยกดดันหุ้นไทย และยังไม่มีความชัดเจนอยู่หลายเรื่อง
เริ่มจาก 1.การเมือง ทั้งประเด็นพรรคก้าวไกลจะถูกยุบหรือไม่ (น้ำหนักต่อตลาดหุ้นน้อย), กรณีสถานะของ “เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี”, ความขัดแย้งของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลที่มีปัญหาภายใน (และอาจจะมีปัญหาระหว่างพรรคร่วมด้วย)
2.ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 2/2567 และทิศทางในช่วงที่เหลือของปีนี้
3.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี), มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
4.นโยบายด้านดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ แบงก์ชาติของไทย
5.การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในปลายปี 2567 (ประมาณเดือนพ.ย.)
นี่ยังไม่รวมความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
หากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ยังไม่ชัดเจน
ดัชนีจึงยังน่าจะวนเวียนอยู่ในกรอบ ทำให้นักวิเคราะห์ต่างแนะนำกันว่า
หากดัชนีขึ้นมาอยู่เหนือ 1,320 จุด อย่าเพิ่งซื้อตาม
หากใครมีหุ้นอยู่และมีกำไร นี่คือเขตของการ “ขาย”
แต่หากไม่มีหุ้นในพอร์ต ให้ถือเงินสดไว้ก่อน แล้วมารอรับช่วงดัชนีลงมาต่ำกว่า 1,300 จุดอีกครั้ง
ทว่า การขึ้นมาของดัชนีในรอบล่าสุดนี้
อาจจะยังพอมีประเด็น หรือปัจจัยหนุนอยู่บ้าง เช่น ดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีความคืบหน้า
วันนี้ (1 ส.ค.) ถือว่าเริ่มนับหนึ่งกันล่ะ ด้วยการเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน
ขณะที่ทางกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า ในไตรมาส 4/2567 ได้นำเงินไปจับจ่ายใช้สอยกันได้แน่ ๆ และโบรกฯ เองมองกันว่า จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก
อีกเรื่อง คือ Thai ESG ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว
จึงน่าจะเริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่จ่อทยอยเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน TESG กันมากขึ้น
และช่วยหนุนเงินเข้ามายังตลาดหุ้นได้อีก
ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต.ประเมินว่า เงินที่จะซื้อหน่วยลงทุน TESG จะเข้าประมาณเดือนละ 6 พันล้านบาท หรือรวม 5 เดือนจะตกราว ๆ 3.5 หมื่นล้านบาท
ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส มองตัวเลขไว้ถึง 7-8 หมื่นล้านบาท
ด้วยเฉพาะสองปัจจัยนี้
อาจจะพอเป็นปัจจัยค้ำยันให้ดัชนีขึ้นมาเล่นในกรอบ 1,305–1,330 จุด หรืออาจจะขยับขึ้นมาได้ถึง 1,350 จุด
จากการประเมินของนักวิเคราะห์
ส่วนธีมหุ้นที่เล่นกันในช่วงนี้สังเกตว่า จะเปลี่ยนกลุ่มกันไปเรื่อย ๆ
เช่น กลุ่มกัลฟ์ที่มี INTUCH ADVANC THCOM GULF
กลุ่มธนาคาร KBANK SCB KTB
กลุ่มค้าปลีกที่มีการเล่นรอบ CPALL
รวมถึงกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะมีผลการดำเนินงวดไตรมาส 2/2567 ออกมาดี
และกลุ่มหุ้นที่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาล
มาลุ้นกันว่า ดัชนีขึ้นรอบนี้จะผ่าน 1,330 จุดหรือไม่
หรือว่าจะกลับมาร่วงลงไปอีก จนแนวรับ 1,280 จุด อาจจะเอาไม่อยู่
ธนะชัย ณ นคร