ผ้ายันต์พิมพ์นิยมแฉทุกวัน ทันเกมหุ้น

ชื่อของนักลงทุน "ขาใหญ่มาก" อย่างนักกฎหมายเก่า วิชัย ทองแตง เป็นข่าวใหญ่ได้เสมอ สำหรับย่างก้าวในการลงทุนที่คุ้นเคยกันดีคือ ซื้อซากกิจการที่มีปัญหาการเงินในตลาดหุ้น แล้วเอามาจัดโครงสร้างการเงินใหม่ทำนอง "ใส่ตะกร้าล้างน้ำ" ขัดสีฉวีวรรณใหม่ให้เรี่ยมเร้ มีเสน่ห์ให้ราคาหุ้นดูดี แล้วมูลค่าผู้ถือหุ้นสูงขึ้น


ชื่อของนักลงทุน “ขาใหญ่มาก” อย่างนักกฎหมายเก่า วิชัย ทองแตง เป็นข่าวใหญ่ได้เสมอ สำหรับย่างก้าวในการลงทุนที่คุ้นเคยกันดีคือ ซื้อซากกิจการที่มีปัญหาการเงินในตลาดหุ้น แล้วเอามาจัดโครงสร้างการเงินใหม่ทำนอง “ใส่ตะกร้าล้างน้ำ” ขัดสีฉวีวรรณใหม่ให้เรี่ยมเร้ มีเสน่ห์ให้ราคาหุ้นดูดี แล้วมูลค่าผู้ถือหุ้นสูงขึ้น

บางเวลาก็ถือไว้ยาวนาน บริหารจริงจัง กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่างกรณีบริษัท ดุสิตพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่เวลานี้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการจำกัด (มหาชน) หรือ BDMS

บางเวลาและส่วนใหญ่ ก็เข้าไปถือหุ้นสัก 6 เดือน-1 ปี แล้วก็อำลาจกไป ดังกรณี ตงฮั้ว (TH) หรือ RPC และอีกหลายแห่ง โดยทุกครั้งที่แยกทาง จะอ้างเหตุผลซ้ำซากเป็นสูตรสำเร็จเพราะ “แนวทางการทำธุรกิจไปด้วยกันไม่ได้”

บางเวลา ก็มีปรากฏการณ์ “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปเป็นบ้องกัญชา” ดังกรณี ปุ๋ยแห่งชาติ (NFC) หรือไดโดมอน (DAIDO) ซึ่งวิชัยไม่อยากพูดถึง

นี่ยังไม่นับกรณีอันเสียวสยองของโมเดลการลงทุนนอกตลาดที่ข้อมูลไม่ชัดอย่างบริษัท เคเบิ้ล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด หรือ CTH ที่มีข่าวไม่สู้ดีในระยะหลังอีก

ครั้งนี้ ชื่อของวิชัย กลายเป็นปรากฏการณ์ครั้งใหม่ล่าสุดอีกแล้ว เมื่อเข้าถือหุ้นใหญ่ร่วมกับลูกชายในกิจการที่หยุดเทรดในตลาดมาตั้งแต่กลางปี 2556 เพราะมีปัญหาทางการเงินอย่างบริษัท บลิสเทล จำกัด (มหาชน) หรือ BLISS ที่นับวันรอคอยการกลับมาเทรดรอบใหม่

ทุกอย่างเข้าสูตรเดิมอีกเช่นเคย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ปรากฏการณ์ล่าสุดในเอกสารก.ล.ต.ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 59 นายวิชัย ทองแตง ได้ถือหุ้น BLISS คิดเป็นสัดส่วน 8.145% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ ในขณะที่ลูกชายคือ นายอัฐ ทองแตง ซื้อหุ้นเพิ่มจากที่เคยถือเดิมอีก 4.945% รวมแล้วเป็นถือหุ้น 5.09% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

ข้อมูลอันสุดแสนจะเปิดเผยของ ก.ล.ต. มีอยู่เท่านี้….ทางด้านวิชัย กับลูกชาย ก็ไม่ออกมาพูดให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าซื้อมาในราคาเท่าใด และจากใคร รวมทั้งซื้อไปทำอะไร…จะซื้อชั่วคราวแล้วลาจาก หรือหวังบริหารยาวนาน

เพียงหากอนุมานจากสถานการณ์ก่อนหน้า ที่มีคนในวงการหุ้น เที่ยวเร่ขายหุ้นตัวนี้ผ่านดีลเมกเกอร์คนสำคัญอย่าง  “เสี่ยม้า” ในราคาโอทีซี. ที่ระดับหุ้นละ 0.38 บาท ก็ถือว่า ราคาที่วิชัยซื้อมา น่าจะต่ำกว่าราคาดังกล่าวไม่มากนัก ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร เพราะราคาก่อนหยุดเทรดนั้นอยู่ที่ 0.01 บาท

BLISS เข้าเทรดในตลาดเมื่อเดือนธันวาคม 2547 แต่หลังจากเข้าเทรดแล้ว มีปัญหาโมเดลธุรกิจไม่ทำกำไรได้อีก จึงตกเป็นเหยื่อให้กลุ่มวัชรศรีโรจน์เข้ามารับช่วงกิจการต่อ แต่มีสภาพไม่ดีขึ้นจนถูกห้ามซื้อขาย

แถมยังมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับผู้บริหารหลายเรื่อง เช่นเรื่องของนายจักรกฤษณ์ ธนวิรุฬห์ ในฐานะผู้บริหารของ BLISS ได้แต่งบัญชีในงบการเงิน งวดไตรมาส 2/2556 งวดไตรมาส 3/2556 และงบการเงินประจำปี 2556 เรื่องรายได้จากการขายที่มาจากรายได้อื่น ให้เป็นรายได้ปกติที่เกิดจากความสามารถในการดำเนินงานที่แท้จริง เป็นจำนวนเงินลงบัญชี 131 ล้านบาท

แล้วยังมีเรื่องของก.ล.ต. กล่าวโทษนางสาวเพ็ญแข เกตุแก้ว และนางสาวทัน เลถิ อดีตผู้บริหาร BLISS ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้อันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ BLISS กรณีดำเนินการให้มีการนำทรัพย์สินของ BLISS ไปลงทุนในใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ซี.ไอ.กรุ๊ป หรือ CIG-W1 ในปี 2553 เพื่อเอื้อประโยชน์ให้บุคคลภายนอก ทำให้ BLISS ขาดทุนเป็นเงิน 17.4 ล้านบาท จากการลงทุนในช่วงที่ CIG-W1 ใกล้หมดอายุการใช้สิทธิและมีราคาต้นทุนสูง และขายหลักทรัพย์ดังกล่าวทั้งหมดออกไปในช่วงราคาต่ำ

หากไม่นับเรื่องฉาวแล้ว ระหว่างถูกห้ามซื้อขายนี้ มีการเพิ่มทุนมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2556 และ 2558 ทำให้ล่าสุดมีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ 1,027.29 ล้านบาท เมื่อสิ้นงวด9 เดือนแรกของปี 2558 ส่วนผลประกอบการไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้จะดูมีกำไรสุทธิอยู่บ้าง และยังมีภาระขาดทุนสะสม 178 ล้านบาท

เพียงแต่มีที่น่าสนใจตรงที่…เข็มมุ่งใหม่สู่อนาคตของบริษัทนั้น ดูจะไปในทางด้านทำพลังงานโซลาร์เป็นหลักเพราะระบุชัดว่า ต้องการไปทำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์

ที่สำคัญเพราะการเพิ่มทุนขายแบบพีพีจะเพิ่มโอกาสให้บริษัทกลับมาเทรดเร็วขึ้น หลังจากที่ช่วงเดือนพฤษภาคมปีก่ อน ผู้บริหารบริษัทไดนำส่งรายงานเกี่ยวกับระบบการควบคุมภายในของบริษัทให้แก่ตลาดฯ ในการนำหุ้น BLISS กลับเข้าซื้อขายตามปกติอีกครั้ง

การดีลคราวนี้ คนขายก็ได้ประโยชน์ ส่วนคนซื้ออย่างวิชัย ก็ได้สองเด้ง      เพราะไม่ต้องรอนานก็เห็นกำไร ที่สำคัญจะไปทำพลังงานทดแทนซะด้วย

เป้าหมายอย่างหลังนี้ เป็นสเป็กฯของวิชัยที่เคยป่าวร้องมาโดยตลอด ….หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จะไม่ต้องใช้ข้ออ้างเดิมๆที่ว่า“…แนวทางการทำธุรกิจไปด้วยกันไมได้….”อีกครั้ง

คำถามที่ตกค้างคือ คราวนี้ ชื่อชั้น วิชัย ทองแตง จะเป็นเสมือนผ้ายันต์พิมพ์นิยมเรียกแมงเม่าช่วยดันราคาหุ้นเหมือนเดิมหรือไม่… ต้องพิสูจน์ อย่าเชื่อแค่ชื่อ…..อิ อิ อิ

Back to top button