พาราสาวะถี
จะเรียกว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็พอได้ หากมองเป็นข่าวคราวในแง่ลบของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร หลังจากที่ศาลไม่อนุญาตให้เดินทางไปดูไบ
จะเรียกว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็พอได้ หากมองเป็นข่าวคราวในแง่ลบของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร หลังจากที่ศาลไม่อนุญาตให้เดินทางไปดูไบ คล้อยหลังจากนั้นแค่อึดใจเดียวคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. ได้ประชุมหารือเรื่องร้องเรียนว่าอดีตนายกฯ ได้รับการรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น โดยเห็นว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และโรงพยาบาลตำรวจ เลือกปฏิบัติ จึงมีมติส่งข้อมูลให้สำนักงาน ป.ป.ช.ดำเนินการต่อ แต่กรณีนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตัวของผู้ต้องขัง
นั่นหมายความว่า ทักษิณไม่ได้อยู่ในข่ายที่จะต้องรับผิดชอบจากสิ่งที่ กสม.ได้มีมติส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ ขณะเดียวกัน ทางกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจก็พร้อมที่จะไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ทั้งสองหน่วยงานยืนยันตรงกัน ไม่ได้เลือกปฏิบัติ โดย สหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุ ไม่มีความกังวลใจใด ๆ ที่จะต้องชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงต่อ ป.ป.ช. ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า การที่จะนำผู้ต้องขังคนใดไปรักษาตัวภายนอกเรือนจำก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของผู้ต้องราชทัณฑ์ในช่วงนั้น
ส่วนประเด็นการส่งตัวผู้ต้องขังออกรักษาตัวนอกเรือนจำเป็นเวลานานเกิน 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยมีผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทำหนังสือขอความเห็นชอบตามลำดับชั้นของผู้บริหาร จนเป็นเหตุให้อดีตนายกฯ นอนรักษาอาการป่วยนอกเรือนจำได้เป็นระยะเวลานานเกินไป รวมถึงมีอาการวิกฤตทุกวันถึงขั้นไม่ส่งตัวนอนห้องฉุกเฉิน แต่กลับอยู่ในห้องพิเศษ ชั้น 14 นั้น กรณีที่อนุมัติให้อดีตนายกฯ ได้นอนรักษาตัวภายนอกเรือนจำตามระยะเวลาดังกล่าว มาจากการใช้ความเห็นแพทย์ในการพิจารณา
ขณะที่ พันตำรวจเอกหญิง ศิริกุล ศรีสง่า โฆษกโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า รักษาผู้ป่วยทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ ซึ่งโรงพยาบาลมีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วย แต่ในการควบคุมดูแลเป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ โดยที่ผ่านมา กสม.และ ป.ป.ช.ก็ได้มีการขอเอกสารรายละเอียดการรักษาอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งทางโรงพยาบาลตำรวจ ก็ได้นำส่งเอกสารดังกล่าวให้ กสม.เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้มีความวิตกกังวลอะไรเพราะรักษาผู้ป่วยทุกคนอย่างเท่าเทียม
หลังจากนี้ก็อยู่ที่ ป.ป.ช.ว่าจะรับเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาหรือไม่ กรณีนี้ยังมองหาจุดที่จะไปกระทบมิติทางการเมืองลำบาก ต้องอย่าลืมว่าการตั้งต้นตั้งแต่เดินทางกลับประเทศ จนไปถึงการถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ และการดำเนินการเกี่ยวกับการขอพระราชทานอภัยโทษ ทั้งหมดเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลก่อนหน้า หากจะชี้ให้เห็นว่าอำนาจทางการเมืองในรัฐบาลปัจจุบันเกี่ยวข้อง สั่งการให้ฝ่ายปฏิบัติดูแลอดีตนายกฯ เป็นกรณีพิเศษ ใช้ความรู้สึกได้ แต่โดยขั้นตอน ระเบียบของทางราชการ ต้องแยกแยะออกจากกันสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาบทบาทของ กสม.ตั้งแต่อดีตก็จะเห็นว่า บรรดามติต่าง ๆ ที่ส่งไปให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการนั้น มักจะไม่เป็นผล ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้มีอำนาจหน้าที่ที่รับไม้ต่อ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน กสม.เน้นเรื่องการเลือกปฏิบัติ ด้วยเหตุที่ว่าผู้ต้องขังอาจไม่ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน เพียงแต่พ่วงความเห็นว่าการกระทำของเรือนจำรวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าข่ายเอื้อประโยชน์ให้กับบุคคล อาจเป็นการกระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ และกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเลยส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.รับไม้ต่อ
การชี้ที่ว่า “อาจเป็น” ก็ทำให้เห็นแล้วว่า เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นการกระทำผิดทุจริตต่อหน้าที่ จึงน่าจะเป็นเรื่องยากที่จะนำไปสู่การเอาผิดได้ ทั้งนี้ ในทางการเมือง หากมองไปยังสถานการณ์ความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่กระทบชิ่งไปถึง เศรษฐา ทวีสิน รวมทั้งพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเพื่อไทย ก็พอจะอนุมานได้ว่า อาจมีเบื้องหลังของการขยับเพื่อที่จะลากให้เป็นเรื่องการดิสเครดิตรัฐบาล ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน
การชิงไหวชิงพริบทางการเมืองนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ดูเหมือนว่าทางฝั่งรัฐบาลจะกุมความได้เปรียบที่เหนือกว่า นั่นเป็นเพราะการผนึกกำลังกันอย่างเหนียวแน่นของสองพรรคแกนนำสำคัญ ไม่ใช่แค่สายสัมพันธ์ระหว่างทักษิณกับ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่แสดงผ่านการร่วมก๊วนตีกอล์ฟ ร้องเพลง ณ รีสอร์ตหรูของเสี่ยหนูเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความแนบแน่นในฐานะมิตรที่รู้จักกันมานานระหว่างเศรษฐากับเสี่ยหนูด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้จากบทสัมภาษณ์ของทั้งคู่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ระหว่างร่วมคณะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ที่เศรษฐาถูกถามเรื่องนายกฯ สำรอง เจ้าตัวก็ตอบว่าเป็นธรรมดาเรื่องการเมือง อนุทินก็ทราบอยู่ว่ามีเรื่องแบบนี้ตลอดเวลา เรามาทำงาน เรามีจุดประสงค์เดียวกัน ตนก็เชื่อว่าที่อนุทินมาอยู่ตรงนี้ก็ทำเพื่อประชาชน ปัญหาเหล่านี้ที่แทรกเข้ามาก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เรื่องนี้ไม่ต้องพูด “ไม่รู้ว่าข่าวมาจากไหนแต่ก็ทราบจุดประสงค์กันดีอยู่แล้ว”
เป็นการแสดงออกในท่วงทำนองมองตาก็รู้ใจ ไม่เพียงแต่เข้าใจ และไว้ใจว่าเสี่ยหนูไม่ได้คิดเรื่องนายกฯ สำรอง แต่เศรษฐายังมองไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาล โดยย้ำถึงความมั่นคงของ 314 เสียง พร้อมบอกด้วยว่าอาจจะมากกว่านั้น มันเหมือนเป็นการส่งสัญญาณในสองแง่คือ คดีก้าวไกลถูกยุบพรรคแน่ และพรรคร่วมรัฐบาลสำคัญน่าจะมีการดึง สส.บางส่วนเข้ามาเป็นสมาชิก หรือที่ผ่านมาและอนาคต มีการดูแล สส.จากพรรคอื่นที่ไม่ได้อยู่ร่วมรัฐบาล อาศัยเสียงสนับสนุนในทุกเรื่องสำคัญของรัฐบาล
สำหรับประเด็นที่ว่าจะมีการดึงเอา สส.บางส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลนั้น ความเป็นไปได้ยากกว่าใช้เสียงจากพวกฝากเลี้ยง หรือรอกวาดต้อนผึ้งแตกรังจากการถูกยุบของพรรคสีส้มดีกว่า ไม่เพียงแต่เชื่อมั่นว่าเสียงของฝ่ายรัฐบาลเข้มแข็ง แม้แต่แรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่รอดสายตาของกุนซือพรรคแกนนำ เมื่ออ่านเกมกันทะลุอำนาจนำไม่ใช่ของหัวหน้าพรรค การที่จะมีใครลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐาหรือรัฐบาล ย่อมไม่ได้ส่งผลต่อการร่วมรัฐบาล มิหนำซ้ำ ยิ่งแสดงออกกันเช่นนี้ ยิ่งจะเป็นตัวเร่งให้ สส.ส่วนใหญ่ตัดสินใจง่ายขึ้นต่ออนาคตทางการเมืองทั้งในปัจจุบันและเลือกตั้งครั้งหน้า
อรชุน