TFM โกยกำไรครึ่งปีแรกโต 10 เท่าตัว แตะ 230 ล้านบาท เคาะปันผล 0.30 บ.

TFM โกยกำไรครึ่งแรกปี 67 แตะ 233 ล้านบาท เติบโต 1,064% “ออลไทม์ไฮ”  พร้อมเคาะปันผล 0.30 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 19 ส.ค. 67 กำหนดจ่ายปันผล 29 ส.ค. 67 ส่วนภาพรวมธุรกิจครึ่งปีหลัง บริษัทฯ คาดว่ายอดขายกลุ่มอาหารสัตว์น้ำกำลังจะกลับมาเติบโตทั้งจากการขยายตลาด และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ


บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์เศรษฐกิจของไทย รายงานผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 มีกำไรสุทธิ  233.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,064.10% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20.05 ล้านบาท  รับปัจจัยบวกจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวขึ้น 17.50% โดยผลการดำเนินงานแกร่งสุดในรอบ 3 ปี

พร้อมทั้งบริษัทมีการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2567 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2567  และกำไรสะสม ให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 19 ส.ค. 2567 กำหนดวันที่จ่ายปันผล  29 ส.ค. 2567 ซึ่งถือเป็นการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นสูงสุดที่ได้มีการประกาศจ่ายตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตอกย้ำผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง

ด้านนายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในครึ่งแรกของปี 2567 ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจ เพราะมีอัตราการเติบโตที่ดีและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย TFM ยังคงเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน

โดยบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 2,545.80 ล้านบาท และมีความสามารถในการทำกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 444.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 161.30% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 233.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,064.10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20.05 ล้านบาท เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิตในโรงงานและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

รวมไปถึงผลการดำเนินธุรกิจของ TFM ในประเทศอินโดนีเซียที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก ตลอดจนการปรับกลยุทธ์การขายและพอร์ตสินค้าของบริษัทฯ ส่งผลให้อัตรากำไรต่อหุ้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.04 บาท ต่อหุ้นขึ้นมาอยู่ที่ 0.47 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในครึ่งปีแรกยังประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท รวม 150 ล้านบาท

“ท่ามกลางปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย แต่ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำของเรายังคงเติบโตต่อเนื่อง และสามารถขยายตัวได้ เนื่องจากเรามีทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน” นายพีระศักดิ์ กล่าว

สำหรับการเติบโตในไตรมาส 2 ปี 2567 TFM มีรายได้จากการขาย 1,296.70 ล้านบาท ขณะที่กำไรขั้นต้น อยู่ที่ 243.50 ล้านบาท เติบโตขึ้น 98.90% โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 129.40 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากปีที่ผ่านมาถึง 170.90% ซึ่งเป็นผลจากความสม่ำเสมอของการดำเนินกลยุทธ์บริหารจัดการพอร์ตสินค้าที่มุ่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การขยายตลาด และบริหารจัดการต้นทุนการผลิต ซึ่งรวมไปถึงประสิทธิภาพในการผลิต พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าอาหารสัตว์น้ำสู่สินค้าที่มีศักยภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 18.80% เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากอัตราขั้นต้นที่ 9.10% ในช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับอัตรากำไรสุทธิ ที่เพิ่มเป็น 9.80% จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 3.10% อัตรากำไรต่อหุ้นปรับเพิ่มจาก 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นมาอยู่ที่ 0.26 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ภาพรวมธุรกิจในครึ่งหลังปี 2567 บริษัทฯ คาดการณ์ว่ายอดขายกลุ่มอาหารสัตว์น้ำกำลังจะกลับมาเติบโตทั้งจากการขยายตลาด และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยบริษัทฯ จะมุ่งต่อยอดการพัฒนาอาหารสัตว์น้ำให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ตอบโจทย์เกษตรกรในแต่ละพื้นที่ แต่ละภูมิภาค

“นอกจากภาคธุรกิจแล้วเรายังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ ในด้านต่าง ๆ เช่น การเพาะเลี้ยง และนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น โดยเดินหน้าจัดทีมให้ความรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง เช่น  ประโยชน์ของการใช้พลังงานสะอาดภายในฟาร์มกุ้ง ฟาร์มปลากะพง การเลือกใช้วัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทาน และโทษของการใช้สารต้องห้ามในการเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ร่วมมือกับกลุ่มไทยยูเนี่ยน มีมาตรการรับซื้อผลผลิตสัตว์น้ำที่เป็นวัตถุดิบหลักในกลุ่มฯ เช่น กุ้งขาว และปลากะพง เป็นต้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกร ในการหาช่องทางตลาดปลายทางให้กับเกษตรกร ซึ่งได้มีการทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี” นายพีระศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button