CPANEL รุกขยายฐานลูกค้า “รัฐ-เอกชน” เร่งเปิดโรงงานแห่งที่สอง ก.ย.นี้!
CPANEL เดินหน้าขยายฐานลูกค้าโครงการรัฐ-เอกชน พร้อมเร่งเปิดโรงงานผลิตแห่งที่ 2 เต็มรูปแบบภายในเดือนกันยายน ชูจุดแข็งผลิตภัณฑ์ Precast Concrete หลังครึ่งปีแรกโกยรายได้ 183 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 19 ล้านบาท
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ ปรับกลยุทธ์แผนการดำเนินงาน มุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น เจาะกลุ่มงานโครงการภาครัฐและเอกชน อาทิ งานอาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงพยาบาล โครงการอสังหาฯ แนวราบ-แนวสูง
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ เร่งเปิดกำลังการผลิต โรงงานแห่งที่ 2 เต็มรูปแบบภายในเดือนกันยายน 2567 เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ชูจุดแข็งผลิตภัณฑ์ Precast Concrete ผลิตแบบ Automation ทั้งระบบ นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยควบคุมคุณภาพการผลิต ช่วยลดต้นทุนและแรงงาน ช่วยให้งานก่อสร้างของลูกค้าเสร็จรวดเร็วตามเวลาที่กำหนด อีกทั้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน สามารถตอบโจทย์การก่อสร้างทุกรูปแบบ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อผลิตชิ้นงานและสร้างประสบการณ์ที่ดีสู่ลูกค้า ตอบโจทย์ความต้องการทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมให้ความสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการออกแบบ ช่วยสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ สร้างการเติบโตต่อเนื่อง
ส่วนผลประกอบการครึ่งปีแรก 2567 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 182.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18.80 ล้านบาท ผลประกอบการปรับตัวลดลงเป็นผลจากเศรษฐกิจที่เติบโตในอัตราที่ต่ำ ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางส่วนเลื่อนการส่งมอบงาน ชะลอแผนเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรโดยรวมอยู่ในระดับที่ดี จากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ท่ามกลางสภาวะอสังหาฯ ชะลอตัว
“คาดว่าภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่ตลาดก่อสร้างโดยรวมจะเริ่มกระเตื้องขึ้น เนื่องจากคาดว่าจะมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนโครงการก่อสร้างต่างๆ ให้สอดคล้องกับปีงบประมาณที่กำลังจะครบในเดือนกันยายน 2567 ประกอบกับการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานขยายฐานลูกค้าหลากหลาย จะทำให้มียอดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในตลาดใหม่ ๆ ในไตรมาส 3 ปี 2567 เป็นต้นไป โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีปริมาณงานในมือ (Backlog) ประมาณ 1,334 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2567 – 2568 รองรับการเปิดใช้กำลังการผลิตของโรงงานแห่งที่ 2 แล้ว” นายชาคริต กล่าว