LPN ฟุ้งครึ่งแรกปีนี้รายได้แตะ 1.2 หมื่นลบ.จากทั้งปี 1.76 หมื่นลบ.
LPN ฟุ้งครึ่งแรกปีนี้รายได้แตะ 1.2 หมื่นลบ.จากทั้งปี 1.76 หมื่นลบ.
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า บริษัทคาดยอดโอนหรือยอดรับรู้รายได้ของบริษัทในช่วงครึ่งแรกปีนี้จะทำได้แตะระดับ 12,000 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าช่วงครึ่งหลังของปี 58
โดยยอดรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งแรกปีนี้คิดเป็นมากกว่า 50% ของเป้าหมายทั้งปีนี้ที่ตั้งไว้ 17,600 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่จะครบกำหนดในช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าในช่วงไตรมาส 1/59 จะมียอดโอนราว 5 พันล้านบาท และยอดโอนจะเร่งมากขึ้นในเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของมาตรการและจะผลักดันให้ยอดโอนในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-เม.ย.59)สูงถึง 1 หมื่นล้านบาท
โครงการที่คาดว่าจะโอนเข้ามามากในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ได้แก่ โครงการลุมพินี 24 รวมทั้ง โครงการที่ชะอำ และถนนนวมินทร์ ส่วนโครงการย่านถนนบรมราชชนนีที่เริ่มโอนตั้งแต่ปลายปี 58 ก็จะมีการโอนต่อเนื่องมาในปีนี้ด้วย ขณะที่โครงการที่เพชรเกษม 78 ยังไม่สามารถโอนได้ทันเดือนสุดท้ายของมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบ เพราะยังสามารถรับรู้เป็นรายได้เข้ามาทันภายในปีนี้
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) 12,000 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้กว่า 1 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 60
นายโอภาส กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีก 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 17,000 ล้านบาท โดยในวันที่ 30 ม.ค.นี้จะเปิดตัวโครงการโลว์ไรส์”ลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์-บางแวก”มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 9.99 แสนบาท/ยูนิต กลุ่มคนวัยทำงานและผู้สูงอายุเป็นเป้าหมายหลัก ขณะนี้มีลูกค้าลงทะเบียนจองแล้วกว่า 700 ราย คิดเป็น 70% ของห้องที่เปิดขาย คาดว่าจะทำยอดขายล่วงหน้าราว 300 ล้านบาท ซึ่งโครงการพร้อมส่งมอบในไตรมาส 2/60
ขณะที่บริษัทตั้งงบลงทุนซื้อที่ดินราว 3 พันล้านบาทเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ คาดว่าราคาเฉลี่ยราว 250 ล้านบาท/แปลง เน้นในกทม.เนื่องจากบริษัทยังไม่มีแผนเปิดโครงการต่างจังหวัดเพิ่มเติมในปีนี้ เพราะโครงการที่เปิดไปแล้ว ทั้งใน จ.อุดรธานี และเมืองพัทยา ยังมีปริมาณยูนิตเหลือขายพอสมควร โดยเฉพาะที่อุดรธานีเหลือ 200-300 ยูนิต เนื่องจากความต้องการของตลาดไม่เป็นไปตามที่คาด มีเพียงกลุ่มลูกค้าในอุดรธานีและจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น จากเดิมที่คาดว่าจะมีกลุ่มลูกค้าจากลาวเข้ามาซื้อ แต่ก็มีปัญหาเรื่องการกู้เงินจากสถาบันการเงิน เป็นต้น แต่บริษัทก็จะยังมองหาโอกาสลงทุนในต่างจังหวัดต่อไป