พาราสาวะถีอรชุน

ไม่แน่ใจว่าเพราะสถานการณ์ไม่ปกติหรือด้วยใจที่อคติจึงทำให้ท่าทีของผู้บริหารสถาบันการศึกษาบางแห่ง แสดงท่าทีที่ไม่เคารพต่อกระบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตย มิหนำซ้ำ ยังยกเอากฎระเบียบต่างๆ มากล่าวอ้างในทำนองที่เป็นการปรามหรือขู่นักศึกษาเหล่านั้นอีกต่างหาก แต่ขึ้นชื่อว่ากระบวนการต่อสู้ย่อมไม่ยี่หระต่อวิชามารในลักษณะนี้อยู่แล้ว


ไม่แน่ใจว่าเพราะสถานการณ์ไม่ปกติหรือด้วยใจที่อคติจึงทำให้ท่าทีของผู้บริหารสถาบันการศึกษาบางแห่ง แสดงท่าทีที่ไม่เคารพต่อกระบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาที่เรียกร้องประชาธิปไตย มิหนำซ้ำ ยังยกเอากฎระเบียบต่างๆ มากล่าวอ้างในทำนองที่เป็นการปรามหรือขู่นักศึกษาเหล่านั้นอีกต่างหาก แต่ขึ้นชื่อว่ากระบวนการต่อสู้ย่อมไม่ยี่หระต่อวิชามารในลักษณะนี้อยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้วันวานจึงเกิดภาพ  “จ่านิว” สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ สวมหมวกไหมพรมคลุมศีรษะเข้าพบ ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาและการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการที่เจ้าหน้าที่ทหารเข้าควบคุมตัวจ่านิวว่าเป็นไปตามขั้นตอน ทั้งๆ ที่เบื้องหลังเป็นไปตามที่เพื่อนนักศึกษาซึ่งประสบเหตุพร้อมกับถ่ายคลิปไว้ และคนที่ควบคุมตัว ต่างยืนยันว่า เป็นเรื่องไม่ปกติ

จึงมีคำถามจากลูกศิษย์ไปถึงอาจารย์ว่า “อาจารย์ยังยืนยันเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องอยู่หรือไม่” ก่อนที่จะมีเสียงอ้อมแอ้มจากปากของอาจารย์มายังลูกศิษย์ว่า “อาจารย์ก็ว่ามันก็เกินไปนิดนึง” ซึ่งจ่านิวไม่ได้ติดใจในตัวอาจารย์ก่อนจะบอกว่า ถือเป็นความเข้าใจผิด ได้ข้อมูลไม่ครบ และบอกรองอธิการบดีรายนี้ด้วยว่าหากมีปัญหาเรื่องข้อมูลยินดีจะมาให้ข้อมูลอีก

นี่เป็นภาพสะท้อนของสถาบันการศึกษาที่ไม่น่าเชื่อว่าเคยมีอดีตอันยิ่งใหญ่จากการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ มาวันนี้หรืออาจจะเรียกได้ว่าตลอดกว่า 10 ปีที่มีปัญหาความขัดแย้ง ท่วงทำนองเพื่อปกป้องประชาธิปไตยนั้นได้หายไป ประการหนึ่งคืออคติที่มีต่อตัว ทักษิณ ชินวัตร อีกประการที่สำคัญคือการเข้าไปรับอำนาจที่ฝ่ายรัฐประหารหยิบยื่นให้ของผู้บริหารสถาบันนั่นเอง

แต่ก็ยังถือเป็นความโชคดีที่มีนักศึกษาจำนวนหนึ่งไม่ยอมศิโรราบให้กับอำนาจอันไม่ชอบธรรมเหล่านั้น และไม่ต้องไปกล่าวหาหรือขุดคุ้ยว่าเด็กเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับกลุ่มการเมืองกลุ่มใด เพราะในนามของกลุ่มขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่า หลายรายเป็นคนที่เคยร่วมไล่รัฐบาลทักษิณจนมาถึง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้ว

อย่างไรก็ตาม การนิ่งเฉยต่อความไม่เป็นประชาธิปไตย เรื่องไม่ชอบมาพากลบางประการหรือแม้กระทั่งเปลี่ยนจุดยืนอันเคยเป็นจุดแข็งของสถาบันที่ตัวเองสังกัดของคนพวกหนึ่ง ด้านหนึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่า เป็นผลพวงมาจากอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่มีมาตรายาวิเศษเป็นยาแรงใช้กำจัดและจำกัดพื้นที่ของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างชะงัดนัก

มิเช่นนั้น เราคงไม่ได้ยินคำขู่ขององค์รัฏฐาธิปัตย์ที่ลั่นวาจาถึงอำนาจเด็ดขาดที่มีว่าทำได้แม้แต่ประหารชีวิตใครก็ได้ เพียงแต่ว่าตัวเองไม่ใช่คนหลงระเริงอำนาจเท่านั้น แต่ก็ไม่วายประกาศกร้าวไม่กลัวใครเช่นกัน เพราะจะยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ถ้าใครไม่พอใจก็ออกไปจากแผ่นดินนี้ ก่อนที่ท่านผู้นำจะรีบออกตัวว่าการมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยิ่งมีมากก็ต้องยิ่งต้องระวัง

ผลการดำเนินการของอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นบทพิสูจน์ว่า ใช้ด้วยความระมัดระวังและเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่เท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจว่าจะไปยึดเอาคำประกาศิตของท่านผู้มีอำนาจเป็นสัญญาอันมั่นเหมาะไม่ได้ เพราะขนาดประกาศจะปฏิรูปตัวเองหลายครั้งหลายหน จนป่านนี้ก็ยังอารมณ์ร้อน ขี้ยัวะเหมือนเดิม

นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่น่ากังวลว่า ด้วยท่วงทำนองเช่นนี้ของท่านผู้นำสิ่งต่างๆ ที่ได้ประกาศไว้ เราจะทำตามสัญญา จะมีเลือกตั้งตามโรดแมปจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ล่าสุดได้ฟัง มีชัย ฤชุพันธุ์ พูดถึงกรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติแล้วน่าจะเป็นการสะท้อนเจตนาอะไรได้หลายๆ ประการ กับการที่บอกว่า ถ้าไม่ผ่านก็ต้องใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ต่อไป

หมายความว่า รัฐบาลคสช.จะต้องอยู่บริหารต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาเช่นนั้นหรือ เพราะในรัฐธรรมนูญชั่วคราวไม่มีข้อกำหนดว่าด้วยการเลือกตั้ง หรือว่านี่คือ “คำขู่” ให้ประชาชนที่อยากเห็นประเทศมีเลือกตั้งต้องไปหย่อนบัตรโหวตให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ เป็นการบังคับแบบเนียนๆ ไม่ใช้วาทกรรมรับไปก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง

หรือว่านี่เป็นเพียงแค่ก๊อกแรก จากนั้นก็จะมีการรณรงค์แคมเปญว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับต้านโกง ดังนั้น ใครที่เคลื่อนไหวไม่ให้มีการรับร่างรัฐธรรมนูญก็เท่ากับเป็นพวกยอมรับกับการโกง การแสดงความมั่นอกมั่นใจว่าร่างจะผ่านประชามติ ทั้งๆ ที่แค่เห็นหน้าตาคร่าวๆ แล้วค่อนข้างจะขี้เหร่ไม่แพ้หรือหนักกว่าฉบับ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ย่อมทำให้อดคิดถึงวิธีที่จะเสนอให้ประชาชนยอมรับไม่ได้

เกมปะฉะดะอันเข้มข้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ตั้งต้นจากการตรวจสอบการปฏิบัติงานของ หม่อมราชวงศ์สุขุมพันธุ์ บริพัตร พร้อมคณะผู้บริหารกทม. ก่อนที่จะลุกลามมาจนถึงการประกาศตัดหางคุณชายหมู ท่ามกลางการวิเคราะห์ทิศทางไปต่างๆ นานาของบรรดาผู้รู้กูรูทั้งหลายแหล่ บางรายมองโลกในแง่ร้ายก็คือ แค่ละครทางการเมืองฉากหนึ่ง

เพราะถึงที่สุดแล้วเชื่อว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากคนทั้งสองฝั่งประกาศแยกทางก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมือง การเลือกตั้งครั้งใหม่จะกลายเป็นพรรคขนาดกลางไปเสียฉิบ แต่เอาเฉพาะปัจจุบัน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนพรรคเก่าแก่สายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่พอใจคุณชายหมู คงเป็นเหตุมาจากน้ำเลี้ยงไม่ไหลเข้าท่อใหญ่อย่างที่ควรจะเป็น

ในบริบทที่ฝ่ายการเมืองถูกแช่แข็งจะเข้าปีที่สองแล้ว ประชาธิปัตย์ถือว่าเป็นพรรคการเมืองเดียวที่ยังมีมือไม้ได้ทำงานบริหารงบประมาณมหาศาลของเมืองหลวง ซึ่งน่าจะสร้างความได้เปรียบและมีน้ำเลี้ยงไปดูแลบรรดาเหล่าสมาชิกกันบ้าง แต่สถานการณ์กลับตรงข้ามน้ำเลี้ยงดังว่าไหลไปผิดท่อ ซึ่งคงพอคาดเดาได้ว่าไหลไปที่ใด อย่างไรก็ตาม บรรดากองเชียร์ต่างหวังกันว่าภาพของหัวหน้าพรรคที่ไปร่วมงานสมุยเฟสติวัลของสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยมีคุณชายหมูไปร่วมด้วยแต่ไม่ได้เจอกันน่าจะเป็นสัญญาณที่ดี จริงหรือเปล่า?

Back to top button