PTT มั่นใจครึ่งหลังปี 67 โตตามเป้า รับราคาพลังงานหนุน พ่วงปิโตรเลียม-ก๊าซเพิ่ม!
PTT มั่นใจครึ่งหลังปี 67 ผลงานโตตามเป้า รับราคาพลังงานหนุน พ่วงปิโตรเลียม-ก๊าซธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น พร้อมรับรู้รายได้การจำหน่ายพลังงานโครงการแหล่งเอราวัณเข้ามามากขึ้น พร้อมคาดการณ์ว่าภายในปี 73 จะมีปริมาณการผลิตก๊าซจาก Ghasha อยู่ที่ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
นายธนพล ประภาพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2/67 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 35,469 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20,107 ล้านบาท
โดยเป็นผลมาจากยอดขายอยู่ที่ 821,943 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 778,158 ล้านบาท ซึ่งหลักจากกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศจากราคาขายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณขายลดลงส่วนใหญ่จากการค้าน้ำมันดิบระหว่างประเทศ และ LNG นำเข้า
ขณะที่ EBITDA ในไตรมาส 2/2567 มีจำนวน 115,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.50% จากงวดเดียวของปีก่อน โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น กลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมีรายได้เพิ่มขึ้นจากทั้งปริมาณขายเฉลี่ยและราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ธุรกิจการกลั่นมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยหลักจากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น PTT มีกำไรสต๊อกน้ำมันในไตรมาส 2 ปี 2567 ประมาณ 3,000 ล้านบาท จากไตรมาส 2 ปี 2566 ขาดทุนสุทธิ 4,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกันไตรมาส 2 ปี 2567 มีการรับรู้รายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (Non-recurring Items) สุทธิภาษีตามสัดส่วนเป็นกำไรประมาณ 5,400 ล้านบาท
“อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 2 ปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้เข้าลงทุน TotalEnergies Renewables Seagreen Holdco Ltd (TERSH) เพื่อดำเนินธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่ง มูลค่า 1.1 กิกะวัตต์ (GW) โดยได้เริ่มผลิตไฟฟ้าแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม และรับสัมปทาน Ghasha แหล่งก๊าซธรรมชาติ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ซึ่งมีแหล่งปิโตรเลียมอยู่ประมาณ 9 แหล่ง มองว่าจะช่วยเพิ่มขึ้นปริมาณพลังงานสำรองของบริษัทได้ทันที” นายธนพล กล่าว
นายธนพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ทิศทางธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ คาดการณ์ว่าในส่วนของ ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) อาทิ สำรวจและผลิตปิโตรเลียมนั้นจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ คาดการณ์ว่าความต้องการใช้มีมากขึ้นซึ่งจะทำให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ขณะที่ในส่วนของ ธุรกิจปลายน้ำ (Downstream) อาทิ ธุรกิจ Oil มองว่าอาจมีทิศทางกำไรอาจอ่อนตัวลงเล็กน้อย เช่นเดียวกับธุรกิจ P&R อาทิ โรงกลั่น Refinery ขณะที่ ธุรกิจปิโตรเคมี ราคาผลิตภัณฑ์ยังทรงตัวอย่างไรก็ตามบริษัทยังคงคาดหวังว่าทิศทางความต้องการจากประเทศจีนจะกลับมาปรับตัวเพิ่มมากขึ้น และอาจส่งผลให้มีการ restock เพื่อผลิตสินค้าช่วงเทศกาล
ส่วน ธุรกิจพลังงาน (Power) มีความต้องการปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวภายในประเทศและอาจมีค่าใช้จ่ายที่ปรับตัวลดลงเป็นตัวสนับสนุน ขณะที่ธุรกิจประเภท Non-Hydrocarbon อย่าง EV พบว่าทิศทางความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ยังคงมีความท้าทายการแข่งขันสูงในตลาดจากการที่จีนนำเข้ารถยนต์ EV
สำหรับ ธุรกิจ Life science หรือธุรกิจ New S Curve คาดการณ์จะมีทิศทางในส่วนของกำไรใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา อาทิ ธุรกิจยาในเอเชียและสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ประเมินว่าผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2567 จะเป็นไปตามเป้าหมายรับปัจจัยหนุนด้านราคาพลังงาน รวมถึงปริมาณการจำหน่าย ซึ่งบริษัทคาดการณ์จะมีปริมาณการจำหน่ายที่เติบโตเพิ่มมากขึ้น ภายหลังรับรู้จากการจำหน่ายพลังงานในโครงการแหล่งเอราวัณตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2567
“ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภายในปี 2573 โครงการสัมปทาน Ghasha แหล่งก๊าซธรรมชาติจะมีปริมาณการผลิตก๊าซอยู่ที่ 1,500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยจะช่วยสนับสนุนความต้องการก๊าซธรรมชาติภายในประเทศและขยายการส่งออกไปในตัว และบริษัทยังได้งานร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) ดำเนินการจัดทั้งบริษัท LMPT2 เพื่อเป็นการแสวงหาโอกาสการลงทุนและสนับสนุนโยบายภาครัฐเกี่ยวกับการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติ” นายธนพล กล่าวทิ้งท้าย